การทำสิ่งใดก็ตามด้วย "เหตุผล" (Reason) และ "คุณค่า" (Value) นั้นเป็นฝาแฝดกัน แยกกันได้ยากเต็มที
"ฉันทำสิ่งนี้เพราะเงินตอบแทน"
นี่เป็นแรงผลักดันให้ลงมือทำเพราะการเห็นคุณค่าในสิ่งที่ทำซึ่งก็คือเงินที่รับตอบแทนมา และก็เป็นได้ทั้งการทำเพียงเพราะเหตุผลที่เห็นสมควรซึ่งก็คือการได้มาซึ่งเงินตอบแทนนั่นแหละ
มันเป็นเรื่องยากที่แยกสองสิ่งนี้ออกจากกัน
นัก NLP เสนอว่า การที่ใครจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรนั้น คุณค่าเป็นสิ่งที่ทรงพลังกว่าเหตุผลอยู่มากโข เมื่อคุณจะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จ คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าถึงคุณค่าของมัน ไม่ใช่ทำเพียงเพราะเหตุผล เพราะทันทีที่คุณมีเหตุผลที่จะลงมือทำ เหตุผลที่จะไม่ลงมือก็สามารถเกิดขึ้นมาต่อต้านได้ทันทีเช่นกัน
การการเล็งเห็นซึ่งคุณค่าของสิ่งที่ทำนั้นไม่ใช่ มันทรงพลังกว่า มันแน่นอนกว่า
แล้วเราจะแยกสองสิ่งนี้ออกจากกันได้อย่างไรล่ะ?
จุดตัดง่ายๆ ระหว่างคุณค่าและเหตุผลนั้นมันอยู่ที่คำว่า "ความสุข" (Happiness) เท่านั้นแหละ
สิ่งนั้นมีคุณค่าเพราะคุณรักสิ่งนั้น คุณรักสิ่งนั้นเพราะคุณมีความสุขที่ได้อยู่กับสิ่งนั้น
ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้ว
วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ความเชื่อและสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ NLP พูดอยู่เสมอว่า "ความเชื่อก็คือความจริงสำหรับคนๆ นั้น" คำถามก็คือถ้าผมเป็นนักมวยและเชื่อว่าผมเก่งที่สุดในโลก ผมจะกลายเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกตามความเชื่อของผมหรือไม่?
สำหรับคำตอบก็คือ "จริงครับ" ผมจะกลายเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกจริงๆ แต่มันจริงสำหรับผมเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะจริงสำหรับโลกใบนี้
สำหรับ NLP แล้ว พวกเราทุกคนต่างก็มีความเชื่อด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าความเชื่อแกนที่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง หรือความเชื่อเปลือกที่หมายถึงความเชื่อองค์ประกอบของชีวิต ความเชื่อเป็นความจริงเฉพาะของคนๆ นั้น เพราะฉะนั้นความเชื่อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าใครเชื่อว่าอย่างไรก็จะมีพฤติกรรมสอดคล้องไปตามความเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ถ้าความเชื่อที่มีสร้างสรรค์ชีวิตก็ไปได้สวย แต่ถ้าเชื่อเลอะเทอะ เชื่อไม่สร้างสรรค์ เชื่ออะไรที่มันสวนทางกับการหมุนของโลกของความเป็นจริง ความซวยอย่างแท้จริงก็จะบังเกิด
NLP จึงเน้นย้ำเป็นอย่างยิ่งว่าความเชื่อที่มีนั้นจำเป็นต้องสร้างสรรค์ ซึ่งถ้าไม่รู้ว่าอย่างไรจึงจะสร้างสรรค์อย่างน้อยก็ควรดูแบบอย่างจากผู้ที่ประสบความสำเร็จว่าเขาเชื่ออย่างไรกันบ้าง
ถ้าคุณไปถามนักมวยที่ประสบความสำเร็จ เชื่อเถอะพวกเขาไม่ได้เชื่อว่าเขาเก่งหรอก แต่เขาเชื่อว่าการฝึกซ้อมอย่างทุ่มเทอย่างไม่ย้อท้อคือทั้งหมดต่างหาก
และถ้าคุณไปถามคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวร่ำรวยด้วยตัวเอง ก็เชื่อเถอะว่าเขาไม่ได้เชื่อว่าหรอกว่าเขาร่ำรวยแล้ว แต่เขาเชื่อว่าเขาสามารถสร้างความร่ำรวยได้ด้วยความสามารถของเขาเอง ซึ่งก็กำลังทำอยู่เนี้ย!!!
เชื่ออย่างไร เชื่ออย่างสร้างสรรค์หรือไม่ นั่นแหละคือสิ่งที่ NLP ต้องการจะเน้นย้ำ สำหรับความเชื่อของทุกคน
สำหรับคำตอบก็คือ "จริงครับ" ผมจะกลายเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกจริงๆ แต่มันจริงสำหรับผมเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะจริงสำหรับโลกใบนี้
สำหรับ NLP แล้ว พวกเราทุกคนต่างก็มีความเชื่อด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าความเชื่อแกนที่เป็นความเชื่อเกี่ยวกับตนเอง หรือความเชื่อเปลือกที่หมายถึงความเชื่อองค์ประกอบของชีวิต ความเชื่อเป็นความจริงเฉพาะของคนๆ นั้น เพราะฉะนั้นความเชื่อจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้าใครเชื่อว่าอย่างไรก็จะมีพฤติกรรมสอดคล้องไปตามความเชื่ออย่างนั้นจริงๆ
ถ้าความเชื่อที่มีสร้างสรรค์ชีวิตก็ไปได้สวย แต่ถ้าเชื่อเลอะเทอะ เชื่อไม่สร้างสรรค์ เชื่ออะไรที่มันสวนทางกับการหมุนของโลกของความเป็นจริง ความซวยอย่างแท้จริงก็จะบังเกิด
NLP จึงเน้นย้ำเป็นอย่างยิ่งว่าความเชื่อที่มีนั้นจำเป็นต้องสร้างสรรค์ ซึ่งถ้าไม่รู้ว่าอย่างไรจึงจะสร้างสรรค์อย่างน้อยก็ควรดูแบบอย่างจากผู้ที่ประสบความสำเร็จว่าเขาเชื่ออย่างไรกันบ้าง
ถ้าคุณไปถามนักมวยที่ประสบความสำเร็จ เชื่อเถอะพวกเขาไม่ได้เชื่อว่าเขาเก่งหรอก แต่เขาเชื่อว่าการฝึกซ้อมอย่างทุ่มเทอย่างไม่ย้อท้อคือทั้งหมดต่างหาก
และถ้าคุณไปถามคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวร่ำรวยด้วยตัวเอง ก็เชื่อเถอะว่าเขาไม่ได้เชื่อว่าหรอกว่าเขาร่ำรวยแล้ว แต่เขาเชื่อว่าเขาสามารถสร้างความร่ำรวยได้ด้วยความสามารถของเขาเอง ซึ่งก็กำลังทำอยู่เนี้ย!!!
เชื่ออย่างไร เชื่ออย่างสร้างสรรค์หรือไม่ นั่นแหละคือสิ่งที่ NLP ต้องการจะเน้นย้ำ สำหรับความเชื่อของทุกคน
The Sub-Modality Control
ถ้าการนึกถึงเสียงตะคอกที่ฝังใจ มาในวัยเด็กจะทำให้รู้สึกหวาดกล ัวและหดหู่ใจอย่างที่สุด หรือภาพประสบการณ์ความผิดพลาดใน อดีตบางอย่างก็สร้างรู้สึกที่เร ียกว่าจิตตกได้ไม่น้อย
ที่สำคัญคือถึงแม้เราจะไม่ได้อย ากนึกถึงมันเลยแม้แต่น้อยแต่บ่อ ยครั้งที่มันก็ผุดขึ้นมาเองอย่า งไร้การควบคุม
การเปลี่ยนประสบการณ์นั้นให้กลา ยเป็นหนังเงียบ ภาพเหตุการณ์หดเล็กลงจนเหลือเท่ าภาพในแสตมป์ หรือไม่ก็ขยำภาพเหตุการณ์แย่ๆ เหล่านั้นปาลงถังขยะเสียเลยสามา รถช่วยทำให้ความรู้สึกหวาดกลัวแ ละหดหู่ใจหายไปได้อย่างน่าประหล าดใจ
หรือถ้าเปลี่ยนเสียงตะคอกให้กลา ยเป็นเสียงโดนัลด์ดั๊กมันเสียเล ยคุณก็อาจจะรู้สึกขบขันแทนไปเลย ก็ได้
และถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยมากพอจน กระทั่งระบบประสาทของเราเกิดควา มเคยชินแล้วล่ะก็ ประสบการณ์แย่ๆ เหล่านี้ก็จะไม่สามารถกลับมารบก วนชีวิตของเราได้อีกต่อไป เพราะเราได้สอนระบบประสาทให้รู้ แล้วว่าควรจะตอบโต้ต่อ Resource แย่ๆ อย่างนี้แบบไหนดี
ที่สำคัญคือถึงแม้เราจะไม่ได้อย
การเปลี่ยนประสบการณ์นั้นให้กลา
หรือถ้าเปลี่ยนเสียงตะคอกให้กลา
และถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยมากพอจน
Working
ทำไมงานที่ฉันทำอยู่จึงไม่ประสบความสำเร็จเสียที(วะ) ..... อันนี้ว่ากันตามประสบการณ์ที่เห็นกับตาตัวเองมาล้วนๆ ผมค้นพบว่ามันก็เป็นไปตามที่ NLP เขาว่านั่นแหละ คือผู้คนโดยส่วนใหญ่มักทำงานของเขาด้วย "เหตุผล" และเหตุผลที่มันจะเป็นประเด็นสำคัญที่สุดที่ทำให้ผู้คนต้องทำงานก็คือ "เงิน"
แน่นอน เราอยู่ในสังคมทุนนิยม อะไรๆ ก็ต้องใช้เงินไปหมด ชีวิตของเราต้องการเงินอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่มีเงินเราจะอยู่ได้อย่างไร ว่าแล้วก็ต้องหาทางให้ได้เงินมาไม่ว่าจะด้วยทางใดทางหนึ่ง
ว่าแล้วทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน เมื่อจะเริ่มลงมือทำอะไรก็ตาม เรื่องที่ว่า "เอ๊ะ จะได้เงินเท่าไหร่นะ" มันก็เกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
ทำไอ้โน่นแล้วได้เงินดีนะ ทำไอ้นู้นรายได้ดีนะ เห็นเขาทำกิจการนู้นนี้แล้วเงินดีมากเลยนะ บลาๆๆๆๆๆ
ซึ่ง NLP บอกว่ามันผิด!!!!!
เราทำเพราะอยากได้เงิน แต่ถ้างานมันมีอุปสรรค ถ้าเงินมันไม่ได้ตามที่ฝันไว้เราจะทำทำไปได้ซักกี่น้ำ? แล้วทำอะไรล่ะที่ไม่ต้องมีอุปสรรคแม้แต่นิดเดียว ถ้ามีผมก็ยินดีด้วย แต่ในความจริงผมว่ามันเป็นไปไม่ได้!!!!
ดังนั้น NLP จึงว่าเมื่อเราทำอะไรก็ตาม ถ้าจะให้ประสบความเสร็จเราจำเป็นต้องทำในสิ่งที่เรา "รัก"
คุณรักที่จะทำอะไร ทำอย่างไรล่ะ ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ จงใช้สติและปัญญาของคุณทำสิ่งที่รักให้เป็นเงิน นั่นต่างหากที่เป็นสูตรสำเร็จของผู้คนที่สำเร็จไปแล้วจำนวนมากที่ NLP สังเกตเห็น
สำหรับ NLP ความรักเป็นเรื่องของความเชื่อ คือเป็นการที่เรายอมรับต่อสิ่งใดอย่างไม่มีเงื่อนไข มันทรงพลังมากเพราะมันอยู่เหนือเหตุผล ความรักทำให้ความยากลำบากกลายเป็นความท้าทาย ทำให้อุปสรรคกลายเป็นความตื่นเต้น ไม่รู้สึกว่ามันเหนื่อยยากหรือน่าเบื่อเลยเมื่อคุณต้องทำในสิ่งที่คุณรักซ้ำๆ
เมื่อคุณรักคุณไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล และเมื่อสิ่งที่คุณรักทำเงินให้คุณ ..... นั่นคือเคล็ดลับความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ครับ
แน่นอน เราอยู่ในสังคมทุนนิยม อะไรๆ ก็ต้องใช้เงินไปหมด ชีวิตของเราต้องการเงินอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่มีเงินเราจะอยู่ได้อย่างไร ว่าแล้วก็ต้องหาทางให้ได้เงินมาไม่ว่าจะด้วยทางใดทางหนึ่ง
ว่าแล้วทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาหาเงิน เมื่อจะเริ่มลงมือทำอะไรก็ตาม เรื่องที่ว่า "เอ๊ะ จะได้เงินเท่าไหร่นะ" มันก็เกิดขึ้นเป็นอันดับแรก
ทำไอ้โน่นแล้วได้เงินดีนะ ทำไอ้นู้นรายได้ดีนะ เห็นเขาทำกิจการนู้นนี้แล้วเงินดีมากเลยนะ บลาๆๆๆๆๆ
ซึ่ง NLP บอกว่ามันผิด!!!!!
เราทำเพราะอยากได้เงิน แต่ถ้างานมันมีอุปสรรค ถ้าเงินมันไม่ได้ตามที่ฝันไว้เราจะทำทำไปได้ซักกี่น้ำ? แล้วทำอะไรล่ะที่ไม่ต้องมีอุปสรรคแม้แต่นิดเดียว ถ้ามีผมก็ยินดีด้วย แต่ในความจริงผมว่ามันเป็นไปไม่ได้!!!!
ดังนั้น NLP จึงว่าเมื่อเราทำอะไรก็ตาม ถ้าจะให้ประสบความเสร็จเราจำเป็นต้องทำในสิ่งที่เรา "รัก"
คุณรักที่จะทำอะไร ทำอย่างไรล่ะ ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ จงใช้สติและปัญญาของคุณทำสิ่งที่รักให้เป็นเงิน นั่นต่างหากที่เป็นสูตรสำเร็จของผู้คนที่สำเร็จไปแล้วจำนวนมากที่ NLP สังเกตเห็น
สำหรับ NLP ความรักเป็นเรื่องของความเชื่อ คือเป็นการที่เรายอมรับต่อสิ่งใดอย่างไม่มีเงื่อนไข มันทรงพลังมากเพราะมันอยู่เหนือเหตุผล ความรักทำให้ความยากลำบากกลายเป็นความท้าทาย ทำให้อุปสรรคกลายเป็นความตื่นเต้น ไม่รู้สึกว่ามันเหนื่อยยากหรือน่าเบื่อเลยเมื่อคุณต้องทำในสิ่งที่คุณรักซ้ำๆ
เมื่อคุณรักคุณไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล และเมื่อสิ่งที่คุณรักทำเงินให้คุณ ..... นั่นคือเคล็ดลับความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ครับ
Keep Going
หลักการพื้นฐาน (Principle) ของ NLP ข้อหนึ่งกล่าวว่า
“ทุกพฤติกรรมล้วนแล้วมีเจตนาดี”
เพียงแต่เจตนาดีที่ว่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำว่า “ต่อตนเอง” ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
เช่นถ้าใครซักคนจะยิงปืนใส่อีกคน ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาทำจะไม่เป็นเจตนาดีที่ตรงไหน แต่สำหรับส่วนตัวเขาเองนี่ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดเสมอเท่าที่เขาจะทำได้ในวินาทีนั้นในบริบทนั้น เช่นถ้าไม่เหนี่ยวไกยิงออกไปในวินาทีนั้นตัวของเขาเองก็อาจจะเป็นฝ่ายโดนยินเสียเองก็ได้
ดังนั้นเอ็นแอลพีจึงมองว่าเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก เราก็จะเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดต่อตัวเองในวินาทีนั้นในบริบทนั้นเสมอ เพียงแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในต่อมารวมถึงผลต่อเนื่องที่จะตามมามันจะเป็นอย่างไรมันก็เป็นอีกเรื่อง และผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเราทำได้เพียงยอมรับมันเท่านั้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
สรุปว่าชีวิตของเรา "เดินหน้าต่อไป" เท่านั้นครับ
“ทุกพฤติกรรมล้วนแล้วมีเจตนาดี”
เพียงแต่เจตนาดีที่ว่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของคำว่า “ต่อตนเอง” ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
เช่นถ้าใครซักคนจะยิงปืนใส่อีกคน ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาทำจะไม่เป็นเจตนาดีที่ตรงไหน แต่สำหรับส่วนตัวเขาเองนี่ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดเสมอเท่าที่เขาจะทำได้ในวินาทีนั้นในบริบทนั้น เช่นถ้าไม่เหนี่ยวไกยิงออกไปในวินาทีนั้นตัวของเขาเองก็อาจจะเป็นฝ่ายโดนยินเสียเองก็ได้
ดังนั้นเอ็นแอลพีจึงมองว่าเมื่อเราอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือก เราก็จะเลือกตัวเลือกที่ดีที่สุดต่อตัวเองในวินาทีนั้นในบริบทนั้นเสมอ เพียงแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในต่อมารวมถึงผลต่อเนื่องที่จะตามมามันจะเป็นอย่างไรมันก็เป็นอีกเรื่อง และผลลัพธ์ที่ได้นั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเราทำได้เพียงยอมรับมันเท่านั้นไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
สรุปว่าชีวิตของเรา "เดินหน้าต่อไป" เท่านั้นครับ
Free E-Book "Change Your Life with NLP"
โดย พูนศักดิ์ ธนพันธ์พาณิช
อ่านหรือดาวโหลดฟรีได้ที่
http://thaihypnosis.com/book/Change%20you%20life%20with%20NLP.pdf
หรือที่ http://thaihypnosis.com/ แล้วเลือกคลิกที่ Change Your Life with NLP
ขอความสุขและความสำเร็จจงมีแด่ทุกท่านครับ
อ่านหรือดาวโหลดฟรีได้ที่
http://thaihypnosis.com/book/Change%20you%20life%20with%20NLP.pdf
หรือที่ http://thaihypnosis.com/ แล้วเลือกคลิกที่ Change Your Life with NLP
ขอความสุขและความสำเร็จจงมีแด่ทุกท่านครับ
ความแตกต่าง
ถ้าเราเปรียบสมองว่าเป็นเหมือนกลไกผลิตความคิดจิตใจอันนำไปสู่พฤติกรรมต่างๆ ที่แต่ละคนแสดงออกมาไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม แต่ละคนก็ย่อมมีกลไกที่แตกต่างกันออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย ความแตกต่างนี้มันทำให้คุณก็คือคุณ ผมก็คือผม แต่ละคนเป็นในสิ่งที่ตัวเองกำลังเป็น พวกเราแตกต่างกันอย่างแน่นอน
เหตุผลที่พวกเรามีกลไกที่แตต่างกันก็เพราะพวกเราผ่านประสบการณ์มาแตกต่างกัน ประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนแล้วแต่เป็นตัวต่อเติมกลไกให้กับพวกเรา ยิ่งผ่านประสบการณ์มากเท่าไหร่กลไกของเราก็ยิ่งสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เรากำลังกินอิ่มบางคนกำลังหิวโหย ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอย่างสบายบางคนกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างแสนสาหัส พวกเราผ่านเรื่องราวที่แตกต่างกันดังนั้นพวกเราจึงต่างกัน
เมื่อมนุษย์เรามารวมกันเป็นสังคมใหญ่ มีคนเป็นแสนเป็นล้านมาอยู่รวมกัน มันย่อมเป็นไปได้ที่หลายคนจะมีกลไกอะไรบางอย่างหรือหลายๆ อย่างที่คล้ายกัน แต่มันเป็นไม่ได้เลยที่ทุกคนจะมีกลกลไกที่เหมือนกันทั้งหมด
ในขณะที่กลไกมีความแตกต่างกัน แต่หลายคนกับคาดหวังให้ทุกคนมีกลไกเหมือนกัน อย่างน้อยก็ควรมีกลไกที่เหมือนหรือสอดคล้องไปกับชุดกลไกของฉัน เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มเอากลไกของเราไปเป็นมาตรฐานวัดความถูกผิด เมื่อนั้นความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉันเชื่อแบบนี้ทำไมเธอจึงเชื่อไม่เหมือนฉัน ฉันทำแบบนี้ทำไมเธอไปทำแบบนั้น ฉันกินอิ่มทำไมเธอจึงมาคอยบ่นว่าหิว
เราขัดแย้งกันแน่นอนเมื่อกลไกของใครคนหนึ่งกำลังไปรุกล้ำกลไกของอีกคนหนึ่ง
การทำให้ทุกคนใช้ชุดกลไกเดียวกันมันไม่มีทางเป็นไปได้
แต่สิ่งที่เราทำได้จริงๆ คือการยอมรับซึ่งความแตกต่างกัน
เหตุผลที่พวกเรามีกลไกที่แตต่างกันก็เพราะพวกเราผ่านประสบการณ์มาแตกต่างกัน ประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนแล้วแต่เป็นตัวต่อเติมกลไกให้กับพวกเรา ยิ่งผ่านประสบการณ์มากเท่าไหร่กลไกของเราก็ยิ่งสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะที่เรากำลังกินอิ่มบางคนกำลังหิวโหย ในขณะที่เรากำลังนอนหลับอย่างสบายบางคนกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอดอย่างแสนสาหัส พวกเราผ่านเรื่องราวที่แตกต่างกันดังนั้นพวกเราจึงต่างกัน
เมื่อมนุษย์เรามารวมกันเป็นสังคมใหญ่ มีคนเป็นแสนเป็นล้านมาอยู่รวมกัน มันย่อมเป็นไปได้ที่หลายคนจะมีกลไกอะไรบางอย่างหรือหลายๆ อย่างที่คล้ายกัน แต่มันเป็นไม่ได้เลยที่ทุกคนจะมีกลกลไกที่เหมือนกันทั้งหมด
ในขณะที่กลไกมีความแตกต่างกัน แต่หลายคนกับคาดหวังให้ทุกคนมีกลไกเหมือนกัน อย่างน้อยก็ควรมีกลไกที่เหมือนหรือสอดคล้องไปกับชุดกลไกของฉัน เมื่อใดก็ตามที่เราเริ่มเอากลไกของเราไปเป็นมาตรฐานวัดความถูกผิด เมื่อนั้นความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ฉันเชื่อแบบนี้ทำไมเธอจึงเชื่อไม่เหมือนฉัน ฉันทำแบบนี้ทำไมเธอไปทำแบบนั้น ฉันกินอิ่มทำไมเธอจึงมาคอยบ่นว่าหิว
เราขัดแย้งกันแน่นอนเมื่อกลไกของใครคนหนึ่งกำลังไปรุกล้ำกลไกของอีกคนหนึ่ง
การทำให้ทุกคนใช้ชุดกลไกเดียวกันมันไม่มีทางเป็นไปได้
แต่สิ่งที่เราทำได้จริงๆ คือการยอมรับซึ่งความแตกต่างกัน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)