วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556
Mirror
ระบบประสาทของคนเรามีแนวโน้มที่จะตอบสนองต่ออารมณ์ในลักษณะของการเข้าร่วมได้ง่ายกว่าการรับรู้อื่นๆ
เช่นหากเรากำลังมองเห็นคนร้องให้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขาด้วยก็ตาม แต่ก็จะมีแนวโน้มสูงที่เราจะค่อยๆ รู้สึกหดหู่และเศร้าตามไปด้วย
หรือการที่กำลังมองเห็นคนกำลังทะเลาะด่าทอกันด้วยความรุนแรง ก็มีแนวโน้มที่เราจะรู้สึกตื่นเต้น หงุดหงิด เกิดอารมณ์รุนแรงเพิ่มสูงตามไปด้วยขึ้นแม้ว่าเราจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการทะเลาะเบาะแว้งนั้นก็ตาม
กลไกในธรรมชาตินี้เรียกว่ามิลเลอร์นิวรอน(ระบบประสาทกระจกเงา) มันเกิดขึ้นในสมองและระบบประสาทของทุกคน เพียงแต่จะมีปริมาณมากน้อยขนาดใหนก็เท่านั้น นั่นหมายความว่าการแสดงออกทางอารมณ์ของตัวเราเองย่อมมีส่วนชี้นำอารมณ์ของคนที่อยู่รอบตัวเราด้วยอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
คุณต้องการให้ผู้คนรอบตัวเป็นอย่างไร? มีอารมณ์อย่างไร?
คุณต้องเริ่มต้นจากตัวของคุณเองครับ!
วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556
Confidence
หลักสำคัญประการหนึ่งที่นักสะกดจิตบำบัด (Hypnotherapist) ทั่วโลกส่วนมากมักจะเห็นพ้องต้องกันก็คือ
“การบำบัดไม่ควรที่จะทำเกินหนึ่งหัวข้อในเวลาเดียวกัน” เช่น
หากต้องการจะบำบัดเรื่องเลิกบุหรี่ เลิกเหล้า ลดน้ำหนัก เพิ่มศักยภาพการกีฬา
หรือแม้กระทั่งบำบัดอาการกลัวอย่างไม่สามารถควบคุมได้ (Phobia) ก็ควรที่จะทำทีละเรื่อง
ๆ ไป ด้วยเหตุผลที่ว่าสมองของมนุษย์เรานั้นสามารถเรียนได้ดีที่สุดเพียงครั้งละหนึ่งเรื่องเท่านั้น
ลองนึกถึงว่ามันจะยุ่งยากขนาดไหนถ้าเราพยามเรียนวิชาเลขไปพร้อมๆ
กับวิชาภาษาอังกฤษ?
แต่ทุกอย่างบนโลกนี้ล้วนไม่มีสิ่งใดตายตัวหรอกครับ
ข้อยกเว้นในกรณีนี้ก็คือ ไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ตามที
ผู้บำบัดสามารถเพิ่มเติมในส่วนของเรื่อง “ความมั่นใจ” (Self Confident) ในตัวเองให้กับผู้เข้ารับการบำบัดได้
ตลอดระยะเวลาการทำงานด้านสะกดจิตบำบัดมาร่วม 5 ปี ผู้บำบัดยังไม่เคยเจอใครที่ไม่ต้องการให้ผู้บำบัดเพิ่มเติมในส่วนของความมั่นใจในตนเองเลยสักคน
ไม่ว่าคน ๆ นั้นจะเป็นระดับ CEO ขององค์กรระดับสูง
หรือแม้กระทั่งนักเรียนมัธยมก็ตามที
คนทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการความมั่นใจในตนเองเพิ่มมากขึ้นทั้งนั้น
ความมั่นใจเป็นดุจดั่งพรวิเศษที่จะช่วยให้คน ๆ
นึงสามารถก้าวข้ามผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ต้องเจอในแต่ละวันได้อย่างยอดเยี่ยม
มีแต่คนที่มีความมั่นเท่านั้นจะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ
ที่ถาโถมเข้ามาได้อย่างไม่ย่อท้อ ในทางตรงกันข้ามการขาดซึ่งความมั่นใจก็เปรียบเสมือนกับกำแพงหนามสูงท่วมหัวที่ขวางเราไม่ให้สามารถก้าวข้ามไปสู่การประสบความสำเร็จในสิ่งที่ตนปรารถนา
เพื่อที่จะให้เราสามารถที่จะพูดได้อย่างมั่นใจ ยิ้มได้อย่างมั่นใจ ต่อรองได้อย่างมั่นใจ
พรีเซนต์งานได้อย่างมั่นใจ แม้กระทั่งจีบสาวได้อย่างมั่นใจนั้น
ความมั่นใจมันจำเป็นที่จะต้องออกมาจากภายในส่วนลึกของจิตใจเสียก่อน
แหล่งผลิตความมั่นใจนั้นก็คือการทำงานของสมองในส่วนที่เรียกว่าจิตใต้สำนึก
(Subconscious)
จะทำอย่างไรเพื่อที่จะให้จิตใต้สำนึกเรียนรู้ที่จะผลิตการตอบสนองที่เรียกว่าความมั่นใจขึ้นมาได้
นั่นคือสิ่งที่สำคัญ และเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อตนเองยอดอย่างเยี่ยมมากที่สุด
และการสะกดจิตบำบัดก็เป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมตัวนึงที่จะสามารถมอบสิ่งนี้ให้กับคุณได้ดังที่คุณต้องการ
วันศุกร์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
นิวรอน
ในหัวสมองของเรามีสารสื่อประสาท หรือนิวรอนอยู่นับล้านๆเซล แต่ละนิวรอนบรรจุไปด้วยข้อมูลต่ างๆ ที่จะประกอบขึ้นเป็นจิตใจของเรา เราถ่ายทอดสิ่งที่บรรจุในนิวรอน เหล่านี้ออกมาสู่โลกภายนอกด้วย "ภาษา" ที่พวกเราใช้ในการสื่อสาร
หลักการง่ายๆ ของนิวรอนเหล่านี้ก็คือ ยิ่งเราใช้นิวรอนตัวใดบ่อยๆ นิวรอนตัวนั้นก็จะเจริญเติบโตขึ ้นเรื่อยๆ ยิ่งโตมากมันก็ยิ่งทำงานได้อย่า งเร็วและมีอำนาจ แล้วถ้ามันโตมากเพียงพอมันก็อาจ จะไปเกาะเกี่ยวโครงข่ายเข้ากับนิวรอนอื ่นๆ ทำให้นิวรอนตัวนี้ส่งอิธิพลไปยั งนิวรอนอื่นที่อยู่ข้างเคียงด้ว ย ในทางตรงกันข้าม นิวรอนที่ไม่ได้ใช้งานก็จะเสื่อ มสลายไปเองตามธรรมชาติ บ่อยครั้งที่สมองของเราจะย่อยสล ายนิวรอนที่ไม่จำเป็นออกไปบ้างเ พื่อให้สมองของเรามีพื้นที่เพีย งพอเหลือเฟือต่อการดำเนินชีวิต ซึ่งนิวรอนที่ไม่ค่อยได้ใช้งานน ี่แหละจะเป็นพวกแรกที่โดนย่อย
นิวรอนจะเจริญเติบโตได้อย่างไร?
ก็เมื่อเราใช้มันโดยผ่านทางความ คิด คำพูด รวมไปถึงการกระทำ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้อง หมั่นคิด พูด และทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ สิ่งที่เราต้องการให้มันมีความเ จริญก้าวหน้า
หัวใจสำคัญคือเราต้องฉลาดที่จะเ พาะเลี้ยงนิวรอนบางตัวให้โต และทำให้นิวรอนไร้ประโยชน์บางตั วหมดความสำคัญลงไป
เพราะตัวตนของเราประกอบขึ้นด้วย นิวรอนครับ
หลักการง่ายๆ ของนิวรอนเหล่านี้ก็คือ ยิ่งเราใช้นิวรอนตัวใดบ่อยๆ นิวรอนตัวนั้นก็จะเจริญเติบโตขึ
นิวรอนจะเจริญเติบโตได้อย่างไร?
ก็เมื่อเราใช้มันโดยผ่านทางความ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเราจึงต้อง
หัวใจสำคัญคือเราต้องฉลาดที่จะเ
เพราะตัวตนของเราประกอบขึ้นด้วย
อิธิพลของการรับรู้
มีการทดลองประหลาดๆอันหนึ่งเกิด ขึ้น คือเขาแบ่งผู้รับการทดลองเป็นสอ งกลุ่ม ทั้งสองกลุ่มเหมือนกันคือให้เล่ นเกมเรียงคำ (มีไพ่เป็นใบๆ มีคำต่างๆ ในไพ่แล้วให้เรียงคำเหล่านี้ให้ เป็นประโยค) ความแตกต่างระหว่างสองกลุ่มนี้ก ็คือ ไพ่กลุ่มแรกมีคำไปในทำนองว่า "แก่ เชื่องช้า หย่อนยาน บลาๆๆ" ในขณะที่กลุ่มหลังเป็นคำในทำนอง ว่า "หนุ่มสาว รวดเร็ว แคล่วคล่อง ว่องใว บลาๆๆๆ"
เมื่อการเล่นเกมจบลง คนทั้งสองกลุ่มก็ถูกร้องขอให้กลับไป โดยให้เดินไปที่ลิฟท์ที่อยู่ใกล ออกไป
ผลประกฏว่า ..... ค่าสถิตโดยรวมแล้วคนในกลุ่มแรกใ ช้เวลาในการเดินทางไปถึงลิฟท์กว ่ากลุ่มที่สองอย่างเห็นได้ชัด ความเร็วในการเดินทางของคนกลุ่ม แรกโดยรวมแล้วต่ำลงอย่างชัดเจนใ นขณะที่ความเร็วของคนกลุ่มหลังก ลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนเช่น กัน
นี่คืออธิพลโดยตรงของการสื่อสาร ที่มีต่อพวกเราไม่ว่าเราจะรู้ตั วหรือไม่ก็ตาม เมื่อเรารับรู้ทันใดนั้นนิวรอนม ันจะเกิดขึ้นเพื่อเก็บข้อมูลที่ รับรู้นั้นเอาไว้ และยิ่งเราเรียนรู้มันซ้ำๆใช้งา นมันซ้ำๆ นิวรอนตัวนั้นก็ยิ่งเะจริญเติบโ ตและส่งอธิพลต่อชีวิตของเราโดยอ ัตโนมัติ
เพราะตัวตนของเราทุกคนประกอบขึ้ นด้วยนิวรอนนับล้านๆเซลครับ
เมื่อการเล่นเกมจบลง คนทั้งสองกลุ่มก็ถูกร้องขอให้กลับไป โดยให้เดินไปที่ลิฟท์ที่อยู่ใกล
ผลประกฏว่า ..... ค่าสถิตโดยรวมแล้วคนในกลุ่มแรกใ
นี่คืออธิพลโดยตรงของการสื่อสาร
เพราะตัวตนของเราทุกคนประกอบขึ้
8 Success
จากการวิจัยของนัก NLP พวกเขาพบว่าโดยสถิตแล้ว ผู้สามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้มักจะมีองค์ประกอบชีวิตบางประการที่เหมือนกันหรือคล้ายกัน 8 ข้อดังต่อไปนี้
1. มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน
2. นึกถึงความทุกข์หรือความผิดพลาดในอดีตน้อยกว่าคนทั่วไป
3. เมื่อเผชิญเหตุการณ์ร้าย พวกเขาถนัดที่จะมองมันให้เป็นด้านบวกมากกว่าคนทั่วไป
4. หลายคนมีอุปนิสัยจดบันทึกเรื่องตัวเอง หรือเขียนเป้าหมายตัวเองออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
5. มักจะวางเป้าหมายความสำเร็จสอดคล้องกับอาชีพ การศึกษา ครอบครัว หรือท้องถิ่นที่อาศัย
6. แข่งขันกับตนเอง หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบกับผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
7. มีแนวโน้มที่จะแสวงหาความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน
8. รู้คุณค่าของตนเอง
1. มีเป้าหมายในชีวิตชัดเจน
2. นึกถึงความทุกข์หรือความผิดพลาดในอดีตน้อยกว่าคนทั่วไป
3. เมื่อเผชิญเหตุการณ์ร้าย พวกเขาถนัดที่จะมองมันให้เป็นด้านบวกมากกว่าคนทั่วไป
4. หลายคนมีอุปนิสัยจดบันทึกเรื่องตัวเอง หรือเขียนเป้าหมายตัวเองออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร
5. มักจะวางเป้าหมายความสำเร็จสอดคล้องกับอาชีพ การศึกษา ครอบครัว หรือท้องถิ่นที่อาศัย
6. แข่งขันกับตนเอง หลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบกับผู้อื่นหรือสิ่งอื่น
7. มีแนวโน้มที่จะแสวงหาความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน
8. รู้คุณค่าของตนเอง
น้ำหนักของถ้อยคำ
หากคุณเรียก .... "ยาม" ว่า "Security Guard"
หากคุณเรียก .... "แอร์-สจ๊วรต" ว่า "Flight Attendance"
หากคุณเรียก .... "หมอโรคจิต" ว่า "จิตแพทย์"
หากคุณเรียก .... "หมอหมา" ว่า "สัตวแพทย์"
บางทีผู้ฟังจะมีความสุขมากขึ้น จะรู้สึกดีมากขึ้น และมีการตอบสนองที่ดีมากขึ้น
NLP เรียกความแตกต่างระหว่างถ้อยคำท ี่มีความมหายเหมือนกันเหล่านี้ว ่าว่า "น้ำหนักของคำ"
คือความหมายถึงแม้ว่าจะเป็นอย่า งเดียวกันก็ตาม แต่กลับมีน้ำหนักหรือให้การตอบส นองจากผู้รับที่แตกต่างกัน และระบบประสาทของคนเรานั้นพร้อม ที่จะรับฟังรู้ที่ทำให้ตัวเองรู ้สึกพึงพอใจอยู่แล้ว
ถ้ารู้จักเลือกใช้ให้ถูกจังหวะ คุณก็จะได้เปรียบในการสื่อสารขอ งคุณ
เช่น ....ถ้าในร้านอาหารที่วุ่นวาย คุณพยามเรียกพนักงานเสริฟว่า "น้องๆๆ" อยู่หลายรอบก็ยังไม่ได้รับการตอ บสนอง แต่พอคุณเรียกว่า "คนสวย" การตอบสนองก็อาจจะเกิดขึ้นได้โด ยฉับพลันทันที
ทำไม? มันเกิดอะไรขึ้่น? .... คือมันอย่างนี้ครับ
ในระบบประสาทส่วนลึก ใครๆ ก็อยากเป็นคนสวย(คนหล่อ)ด้วยกัน ทั้งนั้น (โดยปรกติแล้ว) มนุษย์เรามีสัญชาติญาณระดับจิตใ ต้สำนึกในเรื่องนี้อยู่ทุกคน
ดังนั้นพอมีเสียงเรียกว่าคนสวย คำถามก็คือใครล่ะคือคนสวย? เพื่อการนี้จิตใต้สำนึกมันก็เลย ตะโกนขึ้นว่า "ฉันเอง!!!" ถ้าเมินเฉยต่อคำนี้แล้วล่ะก็ .... นี่มันก็เป็นการใจร้ายต่อตัวเอง ไปซักหน่อย จิตใต้สำนึกมันไม่ยอมหรอก
... ดังนั้นเพื่อให้เกิดการยอมรับต่ อคำนามนี้อย่างเต็มที่ยิ่ง ... การตอบสนองที่ดีจึงเป็นเรื่องที ่เกิดขึ้นตามมาเพื่อยืนยันว่า "นั่นแหละฉันเอง"
หากคุณเรียก .... "แอร์-สจ๊วรต" ว่า "Flight Attendance"
หากคุณเรียก .... "หมอโรคจิต" ว่า "จิตแพทย์"
หากคุณเรียก .... "หมอหมา" ว่า "สัตวแพทย์"
บางทีผู้ฟังจะมีความสุขมากขึ้น จะรู้สึกดีมากขึ้น และมีการตอบสนองที่ดีมากขึ้น
NLP เรียกความแตกต่างระหว่างถ้อยคำท
คือความหมายถึงแม้ว่าจะเป็นอย่า
ถ้ารู้จักเลือกใช้ให้ถูกจังหวะ คุณก็จะได้เปรียบในการสื่อสารขอ
เช่น ....ถ้าในร้านอาหารที่วุ่นวาย คุณพยามเรียกพนักงานเสริฟว่า "น้องๆๆ" อยู่หลายรอบก็ยังไม่ได้รับการตอ
ทำไม? มันเกิดอะไรขึ้่น? .... คือมันอย่างนี้ครับ
ในระบบประสาทส่วนลึก ใครๆ ก็อยากเป็นคนสวย(คนหล่อ)ด้วยกัน
ดังนั้นพอมีเสียงเรียกว่าคนสวย คำถามก็คือใครล่ะคือคนสวย? เพื่อการนี้จิตใต้สำนึกมันก็เลย
... ดังนั้นเพื่อให้เกิดการยอมรับต่
วันอังคารที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2556
Comfort Zone
ธรรมชาติออกแบบสมองและระบบประสาทของเราให้มีความสามารถในการอยู่รอด
การทำอย่างไรก็ได้ให้ชีวิตสามารถอยู่รอดต่อไปได้คือเป้าหมายพื้นฐานที่สำคัญที่สุด
เพื่อการนี้ระบบประสาทของเราจึงสร้างกลไกที่เรียกว่า Comfort Zone
ขึ้นมาเพื่อลดความเสี่ยงใดๆ ก็ตามที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในชีวิตของเรา
Comfort Zone คืออะไร?
มันเป็นภาพจำลองของพื้นปลอดภัยที่จิตใจของเราสร้างขึ้นมา
ในพื้นที่ Comfort Zone นี้เราจะรู้สึกว่ามันปลอดภัยหรืออย่างน้อยก็รู้สึกว่ามันดีอยู่แล้วสมควรที่จะดำเนินอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ
หลักการง่ายๆ ของมันมีอยู่ว่า
มนุษย์เรานั้นไม่มีความสามารถสามารถในการที่รู้ได้อย่างแน่ชัดว่าจะเกิดอะไรกับเราบ้างในอนาคต
เช่นถ้าเราย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นอะไรจะเกิดขึ้นกับเราหรือถ้าถ้าเราทำในสิ่งใหม่อะไรจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามมา
ดังนั้นเพื่อให้มันจะปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้
สมองและระบบประสาทของเราจึงเลือกหนทางที่มันคิดว่าดีที่สุดและง่ายที่สุดขึ้นมา
นั่นก็คือ “การไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลย” ถ้าเราไม่ย้ายหรือไม่ทำอะไรที่มันแปลกใหม่
เราอยู่ที่เดิมทำอะไรแบบเดิมๆ ปล่อยให้ทุกสิ่งมันดำเนินไปเหมือนกับที่มันเคยดำเนินไปได้ในทุกๆ
วัน ผลลัพธ์มันก็ย่อมจะเหมือนเดิม การเหมือนเดิมอย่างกับทุกวันที่ผ่านมานี้เป็นเครื่องการันตีอย่างชัดเจนว่าฉันยังปลอดภัยดี
ฉันยังปรกติดี หรืออย่างน้อยฉันก็ยังคงมีชีวิตต่อไปได้เหมือนกับทุกๆ วันที่ผ่านมา
เพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตของเราอยู่จะใน
Comfort Zone ที่ (มันคิดว่า) ปลอดภัย
ระบบประสาทของเราจึงสร้างเครื่องมือป้องกันไม่ให้เราใช้ชีวิตก้าวล่วงออกจากพื้นที่
Comfort Zone นี้เหมือนกับการที่เราล้อมคอกขังวัวควายเอาไว้ เพื่อไม่ให้หนีหายไปที่ไหน
เครื่องมือที่ว่านี้ก็เช่น
“ความรู้สึกว่าฉันกลัว”
“ความรู้สึกว่าฉันสำเร็จสมบูรณ์ดีแล้ว”
“ความเพ้อฝันถึงอนาคตที่แสนหวานของฉัน”
“ความรู้สึกว่าฉันผิดหรือฉันต้องการไถ่ถอนความผิด”
“ความรู้สึกว่าฉันเหนื่อยแล้ว พอแล้ว”
“ความรู้สึกว่าฉันไม่สามารถ หรือฉันไม่มีวัน”
“ความรู้สึกว่าสิ่งนั้นมันเป็นไปไม่ได้”
“ความรู้สึกว่าใครๆ เขาจะไม่ยอมรับหรือจะไม่ชอบ”
ความจริงยังมีรูปแบบเครื่องมือของ Comfort
Zone
อีกเป็นจำนวนมาก แต่ที่กล่าวมานี้คือเครื่องมือหลักๆ ที่เรามักจะพบเจอกันอยู่บ่อยๆ
ความจริงความรู้สึก (ที่เราเปรียบว่ามันเป็นเครื่องมือ)
เหล่านี้มันถูกระบบประสาทของเราสร่างขึ้นมาเพื่อพยามปกป้องตัวมันเองให้อยู่รอดปลอดภัย
ซึ่งมันก็เคยใช้ได้ผลดีเมื่อตอนที่พวกเรายังเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอาศัยอยู่ในป่าเป็นฝูงๆ
เหมือนอย่างเมื่อหลายหมื่นหลายแสนปีก่อน เราไม่อยากย้ายถิ่นฐาน
เราไม่อยากออกไปหาอาหารในที่เราไม่เคยไป เราไม่อยากเสี่ยงทำอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อน
ทุกอย่างก็เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะยังสามารถมีชีวิตต่อไปได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
มันเคยเป็นระบบที่ยอดเยี่ยม
แต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้
ทุกวันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไป
สภาพสังคมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป ความสลับซับซ้อนทางสังคมและความต้องการ ปัจจัยในการดำรงชีพของมนุษย์สูงมากขึ้น
ละเอียดอ่อนมากขึ้น และสลับซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จาก Comfort Zone
ที่เคยทำหน้าที่ปกป้องไม่ให้เราได้รับกับอันตรายทุกวันนี้มันกลายสภาพเป็นคอกปิดกั้นความสำเร็จของเราไปเสียแล้ว
หลายคนมีชีวิตย่ำอยู่กับที่ปล่อยให้หลายสิ่งหลายอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตและผ่านอกไปอย่างว่างเปล่า
เราปล่อยให้ Comfort Zone ปิดกั้นตัวเราเอาไว้ด้วยความรู้สึกกลัว ไม่กล้า
ไม่มั่นใจ
และอีกอะไรอีกมามายหลายอย่างซึ่งล้วนแล้วแต่ช่วยฉุดรั้งชีวิตของเราให้ย่ำอยู่กับที่
ทุกวันนี้เราไม่พอใจเพียงแค่การหาอาหารในเขตหรือถิ่นอาศัยของตัวเอง
แต่ชีวิตของเราต้องการเดินไปข้างหน้า เดินไปสู่เป้าหมายที่เราต้องการ
ไม่ใช่แค่เราเดินอยู่คนเดียว บ่อยครั้งมันเป็นการแข่งขันกัน
ใครล่ะจะเป็นคนที่ไปถึงและคว้าเอาเป้าหมายนั้นมาไว้ในมือได้ก่อนคนอื่น เมื่อติดอยู่ในคอกกั้น
และเราไม่สามารถก้าวพ้นคอกกั้นนี้ออกไป การเดินทางไปจนถึงเป้าหมายอันเป็นความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้าจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
การแข่งขั้นกันเพื่อไปให้ถึงก่อนก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เป็นเช่นกัน
เมื่อเราต้องการความสำเร็จ
ต้องการชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมชีวิตที่ดีกว่าที่เคยเป็นอยู่
เรามีความจำเป็นต้องสร้างความเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้เกิดขึ้น การมีชีวิต
“เหมือนเดิม” อาศัยอยู่ใน Comfort Zone ที่แสนสบายไม่อาจทำให้เราไปถึงจุดนั้นได้เลย
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงต้องฝึกออกจาก Comfort Zone
ที่ขังชีวิตของเราเอาไว้
เราจะออกจาก Comfort Zone ได้อย่างไร?
คำตอบของมันไม่มีอะไรมากไปกว่าการ “ฝึก"
เราต้องฝึกที่จะทำบางสิ่งที่ท้าทาย ไปให้ถึงจุดที่คิดว่ามันเป็นขีดจำกัดของเราแล้วข้ามพ้นมันไปให้ได้
ฝึกที่เอาชนะขีดจำกัดของตัวออกไปเรื่อยๆ ฝึกต่อสู้กับตัวเอง
(บางครั้งอาจจะต้องฝึกสู้กับคนอื่น) เรียนรู้ที่จะเอาชนะตัวเอง ทำลายสถิติของตัวเอง
ขยายพื้นที่ภายในจิตใจของเราออกไปไปเรื่อยๆ
ประสบการณ์เล็กๆ แต่ทรงพลังที่แสนยอดเยี่ยมนี้จะทำให้ชีวิตของคุณเปลี่ยนไป
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Behavioral Frame
กรอบของพฤติกรรม (Behavioral Frame) หมายถึงถ้อยคำภาษาที่ถูกใช้ออกไปแล้วส่งผลให้บริบทของความคิด คำพูด หรือการกระทำมันหยุดลงอยู่แค่นั้นไม่สามารถขยับขยายไปในทิศทางที่สร้างสรรค์กว่าที่เป็นอยู่ได้อีก เช่น
“ปัญหา” ... งานที่ทำอยู่มันมีแต่ปัญหาเต็มไปหมด
“ทำไม?” ...ทำไมเรื่องร้ายๆ จึงเกิดขึ้นกับฉันไม่หยุดหย่อน
“ล้มเหลว” ...ชีวิตแต่งงานของฉันล้มเหลวไม่เป็นท่า
“เป็นไปไม่ได้!” ....การทำอย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้หรอก
“เสียเวลาเปล่าๆ” ....มัวแต่สนใจเรื่องหยุมหยิมแบบนี้เสียเวลาเปล่าๆ
กรอบหรือคอกล้อมวัวพวกนี้จะขังคุณเอาไว้ไม่ให้สามารถขยับไปไหนได้เลย ทั้งที่จริงๆ แล้วเลยคอกออกไปอีกสิบเมตรอาจจะเป็นความสำเร็จอย่างสวยงามที่กำลังรอคุณอยู่ก็ได้
ดังนั้นจงเปลี่ยนภาษาที่คุณใช้ เพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
“ปัญหา เป็นผลลัพธ์”
....งานที่ทำอยู่ผลลัพธ์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก
“ทำไม? เป็นอย่างไร?”
...ทำอย่างไรเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิตของฉันมันจะหมดๆ ไปเสียที?
“ล้มเหลว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น”
...สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตแต่งานของฉันก็คือการแยกทางกัน
“เป็นไปไม่ได้! เป็นอะไรที่จะทำให้มันเกิดขึ้นได้?”
...จะทำอย่างไรให้เรื่องนั้นมันเกิดขึ้นมาจริงๆ นะ?
“เสียเวลาเปล่าๆ เป็นศึกษารายละเอียด”
...การศึกษารายละเอียดของเรื่องนั้นทำให้ฉันได้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกมาก
.
.
.
เปลี่ยนแล้วปัญหามันไม่จะถูกแก้ไขให้หมดไปในทันทีหรือคุณจะประสบความสำเร็จทันทีเหมือนถูกหวยหรอกครับ
"แต่มันจะเปิดทางให้คุณเดินไปต่อได้"
นั่นแหละครับคือสิ่งที่ NLP ต้องการจริงๆล่ะ
Why and How
?
คำถามว่า "ทำไม!" (Why) มันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา
ถามว่า "อย่างไร" (How) ต่างหากที่คุณต้องการ
"ทำไมอาหารจึงช้า ฉันรอเป็นชั่วโมง!"
คำถามแบบนี้ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ไม่ได้ช่วยให้คุณหายโมโห และก็ไม่ได้ช่วยให้คุณได้อิ่มท้องด้วย มีแต่ยิ่งถามก็ยิ่งโมโหหิวมากขึ้นเรื่อยๆ
เปลี่ยนใหม่ Re-Pattern ของคุณเสีย
"อาหารช้าเป็นชั่วโมง ฉันหิวมาก ฉันจะได้รับการชดเชยอย่างไร?"
บางทีจากคำถามนี้คุณอาจจะทานอาหารดีๆฟรีๆซักเมื้อสองเมื้อก็ได้นะครับ
มันสร้างสรรคกและได้ประโยชน์ว่ากันเยอะเลย ..... หรือคุณว่าไม่จริง?
วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
Picasso
กาลครั้งหนึ่งนามมาแล้ว ปีกัสโซ่ (Picasso) ศิลปินเอกคนหนึ่งของโลกโดนยิงคำถามมาจากชายคนหนึ่งว่า
"ทำไมคุณจึงไม่วาดภาพที่มันเหมือนจริงล่ะ?" เมื่อได้ฟังดังนั้นปีกัสโซ่จึงถามกลับไปว่า "เหมือนจริงแบบใหนล่ะ?"
ชายคนนั้นจึงหยิบรูปถ่ายภรรยาของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเสื้อ (ซึ่งเป็นภาพขาวดำตามยุคสมัยนั้น) เขายื่นให้ปีกัสโซ่ดูอย่างภาคภูมิใจแล้วบอกว่า
“นี่คือภรรยาของผม ภาพนี้มันเหมือนจริงมากและคุณก็ควรวาดให้ได้เหมือนจริงอย่างนี้มากกว่าภาพเบี้ยวๆ ของคุณนะ”
ปีกัสโซ่หยุดมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งทีเดียว จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
"ภรรยาของคุณเป็นคนสวยนะ แต่เธอน่าสงสารมาก ดูซิผิวพรรณเธอไม่มีสีเลือดเลยเลย ตัวเธอก็เล็กมากกว้างยาวแค่ไม่กี่นิ้วเห็นจะได้แถมยังแบนแต๋ดแต๋เลย ผิวของเธอยังเย็นๆ อีกด้วยสงสัยเธอจะไม่สบายนะ คุณน่าจะแลเธอให้ดีหน่อย"
นี่อาจจะเป็นอารมณ์ขันปนประชดประชันของปีกัสโซ่ที่ใช้ตอกหน้าชายคนนั้นกลับไปเฉยๆ ก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้จากเรื่องนี้ก็คือ บ่อยครั้งแค่ไหนที่เราให้ปล่อยให้ความหมายที่เรากำหนดให้ต่อสิ่งต่างๆ กลายมาเป็นสิ่งเหล่านั้นเสียเอง เหมือนอย่างที่ชายคนนั้นได้ปล่อยให้ภาพถ่ายในกระดาษกลายเป็นภรรยาของเขาจริงๆ (ถึงแม้ว่าจะผ่านทางการประชดของปีกัสโซ่ก็ตามเถอะ) บ่อยครั้งแค่ไหนที่เราปล่อยให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการสรุปเหตุการณ์ของเราเองกลายมาเป็นรายละเอียดของเหตุการณ์นั้นจริงๆ หรือบ่อยครั้งแค่ไหนเราปล่อยให้ความรู้สึกที่เรามีต่อคนๆ หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากการสรุปความหมายของเราเองกลายเป็นตัวตนของคนๆ นั้นไปอย่างสมบูรณ์
มันไม่ใช่แค่บทสรุป มันไม่ใช่แค่ตัวแทน แต่มันกำลังจะเป็นสิ่งนั้นจริงๆ ในการรับรู้ของเรา แผนที่ที่เราวาดขึ้นกำลังกลายเป็นพื้นที่นั่นอย่างสมบูรณ์แล้วอย่างนั้นหรือ?
ไม่มีทาง!
“แผนที่ไม่ใช่พื้นที่” (The Map is not Territory)
นี่เป็นประโยคที่มีความสำคัญต่อผู้ศึกษาเอ็นแอลพีเป็นอย่างมาก กล่าวคือเอ็นแอลพีเปรียบวิธีการรับรู้ของระบบประสาทของเราเป็นเหมือนกับการมองไปยังแผนที่ฉบับหนึ่งที่เราวาดขึ้นมาอธิบายรายละเอียดของพื้นที่ จากนั้นก็ตอบสนองกับแผนที่นั้นอย่างเต็มที่แทนที่เราจะมองและตอบสนองต่อพื้นที่นั้นโดยตรง การทำแบบนี้ช่วยให้สมองของเราทำงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ศึกษาเอ็นแอลพีจะต้องระลึกอยู่เสมอก็คือ “แผนที่ก็ย่อมเป็นเพียงแผนที่ ไม่สามารถเป็นพื้นที่จริงได้โดยเด็ดขาด” หมายถึงการรับรู้ก็ย่อมเป็นได้แค่การรับรู้ มันไม่มีทางที่จะเป็นสิ่งเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด หรือแปลความกันอีกทีก็คือ
“เหตุการณ์ที่เกิดและสิ่งที่คุณรับรู้มันคือคนล่ะเรื่องกันอย่าได้เผลอเอาไปรวมกันเป็นอันขาด”
นักอธิบาย
บางทีเราก็ช่างเป็นนักอธิบาย
เวลาเราพูดถึงปัญหา เรากลัวคนอื่นไม่เข้าใจ กลัวคนอื่นไม่ยอมรับ เราไม่ค่อยมั่นใจตัวเองเท่าไหร่
เราก็เลยใช้ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเวลาในการ "อธิบายปัญหา"
แทนที่จะพูดถึง "วิธีแก้ปัญหา" ....
เวลาเราพูดถึงปัญหา เรากลัวคนอื่นไม่เข้าใจ กลัวคนอื่นไม่ยอมรับ เราไม่ค่อยมั่นใจตัวเองเท่าไหร่
เราก็เลยใช้ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดเวลาในการ "อธิบายปัญหา"
แทนที่จะพูดถึง "วิธีแก้ปัญหา" ....
พลังแห่งข้ออ้าง
เพื่อไปให้ถึงเส้นชัย เพื่อไปให้ถึงผลลัพธ์ที่คุณต้องการ คุณจำเป็นต้องเขี้ยวเข็นตัวเองให้หนักยิ่งขึ้น พยามมากยิ่งขึ้น ฝ่าฟันมันด้วยกำลังที่เต็มที่ยิ่งขึ้น ข้อผิดพลาดต่างๆ จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
.... เรื่องง่ายๆ แบบนี้ผมคิดว่าใครๆ ก็รู้
แต่คุณจะทำแบบนั้นได้อย่างไรในเมื่อคุณยังคงเต็มไปด้วย "ข้ออ้าง" มากมายที่คอยปกป้องตัวคุณไม่ให้ไปถึงจุดเหล่านั้น
ผมตื่นสายก็เพราะว่า.........................(ผมไม่ผิดนะ)
ผมฝึกซ้อมน้อยลงก็เพราะ .................(ผมไม่ผิดนะ)
ผมนิ่งนอนใจก็เพราะว่า .....................(ผมไม่ผิดนะ)
ผมไม่ทำอย่างนั้นเพราะ.....................(ผมไม่ผิดนะ)
ข้ออ้างต่างๆ มันคอยปกป้องคุณอยู่ตลอด แน่นอนว่าด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ของสารพัดข้ออ้างแล้ว มันทำให้คุณไม่ผิด!
คุณไม่ผิด! และไม่มีวันผิดด้วย! นี่แหละพลังอำนาจของข้ออ้าง
...................
ในเมื่อคุณไม่ผิด คุณมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่รู้สึกซักนิดว่าคุณผิดแล้ว คุณพลาดแล้ว....
"แล้วคุณจะพัฒนาตัวคุณให้บินสูงกว่านี้ ไปใกลกว่านี้ได้ยังไง?"
ถามจริงๆ มันจะดีกว่านี้ได้ยังไง(วะ)ถ้าคุณไม่ยอมรับเสียก่อน?
สิ่งที่อยู่ภายใน
แผนที่การรับรู้ภายในจิตใจย่อมถูกถ่ายทอดออกมาด้วยถ้อยคำและภาษาที่ถูกสื่อสารออกมา
ภายในจิตใจเป็นอย่างไรย่อมถูกถ่ายทอดออกมาจากสิ่งที่เขาพูด
ความดักดานของผู้คนก็เช่นกัน ท่านย่อมสามารถสังเกตได้จากสิ่งที่พวกเขาพูดออกมา
และถ้าจะแก้ไข ..... ก็เริ่มที่การแก้ไขคำพูดนั่นแหละ
วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
ลำดับขั้นตอนที่ควรจะเป็น
โอ้ย แย่แล้ว ลูกค้าจะมาแล้วยังเตรียมงานไม่ทันเลย!!! ..... อารมณ์ก็ชักจะเสียมากขึ้นทุกทีๆ
นี่เป็นตัวอย่างง่ายๆ ของ Strategy ที่ผิดขั้นตอน
ผิดยังไง?
ก็ลูกค้ายังไม่ได้มาแต่เราเอาเรื่องนี้มาก่อน จากนั้นก็เอางานที่กำลังทำอยู่ตามมาทีหลัง ผลคืออารมณ์เสียเพราะรู้สึกว่างานไม่ทันแล้ว ทั้งๆที่จริงแล้วลูกค้ายังไม่โผล่มาเลยซักคน!!!
ถ้าสลับตำแหน่งกันซักนิด เอางานที่ทำมาก่อนลูกค้าที่จะมาเอาไว้ทีหลังคิดถึงงานที่กำลังทำก่อนคิดถึงลูกค้าที่กำลังจะมา(คือยังมาไม่ถึงหรอก) อะไรๆมันจะง่ายขึ้นอีกเยอะ
ลองสำรวจดูครับว่าวันๆเรามี Strategy อะไรที่มันผิดขั้นผิดตอนหรือ แล้วมันก่อปัญหาอะไรให้เราบ้าง และที่สำคัญคือ
ลำดับ Strategy ที่ถูกต้องจริงๆ ของมันควรเป็นอย่างไร?
Strategy
คำว่า Strategy ใน NLP มันแปลกันว่า "กลยุทธ" หรือไม่ก็ "กลวิธี" ความจริงแล้วอธิบายให้ง่ายกว่านั้นก็คือ "ลำดับขั้นตอน"
คือ NLP จะบอกว่าผลลัพธ์ใดก็ตามที่มันเกิดขึ้นมันไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นเองได้ ทุกสิ่งมันมีลำดับความเป็นมาของมันตั้งแต่เริ่มจนไปถึงได้ผลลัพธ์ โดยจำนวนขั้นตอนก็อาจจะสั้นบ้างยาวบ้างก็แล้วแต่กรณี
ลองนึกถึงไข่เจียวที่วางในจานหอมกรุ่นอยู่ตรงหน้า คุณคิดว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร? แน่นอนมันไม่ได้เกิดขึ้นได้เอง แต่มันเกิดขึ้นด้วยลำดับขั้นตอนของมัน เริ่มตั้งแต่เดินเข้าไปในครัว หยิบไข่ไก่ออกมาตอกลงในชาม เดินไปหยิบกะทะวางลงที่เตา เปิดแกส และอะไรเรื่อยไปจนถึงได้เป็นไข่เจียวออกมานั่นแหละ
ความจริงกระบวนการ Strategy ไข่เจียวนี้อาจจะย้อนกลับได้จนถึงว่าทำไมคุณจึงตัดสินใจเดินไปทอดไข่เจียว เกิดอะไรขึ้นในหัวของคุณ แน่นอนมันก็ต้องมีลำดับขั้นตอนของมันเช่นกัน
หลักง่ายๆ ของ Strategy ก็คือ ทุกอย่างในโลกนี้เกิดขึ้นมาอย่างมีลำดับขั้นตอนเสมอ
และเพื่อให้ผลลัพธ์มันคงเดิม กระบวนการหรือลำดับขั้นตอนมันจำเป็นที่จะต้องรักษาเอาไว้เหมือนเดิมทุกประการ ถ้ากระบวนการหรือขั้นตอนบางอย่างมันถูกเปลี่ยน ผลสุดท้ายมันก็ย่อมเปลี่ยนตามไปด้วย
อีกประการหนึ่งก็คือ สำหรับผลลัพธ์ใดก็ตามที่มันเกิดขึ้น ถ้ามันดีก็เพราะว่าลำดับขั้นตอนที่ทำให้เกิดผลนั้นมันดี แต่ถ้ามันแย่ก็หมายความว่าลำดับที่ทำให้เกิดผลมันผิดมาตั้งแต่ต้นแล้ว ถ้าอยากเปลี่ยนผลให้ดีก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขลำดับขั้นตอนใหม่ อาจจะแค่สลับขั้นตอนหรือไม่ก็เปลี่ยนวิธีการบางขั้นตอน แล้วทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปหมด
ความคิดของเรา อารมณ์ของเรา พฤติกรรมของเรา หรือแม้แต่ความสำเร็จในชีวิตของเรา ทั้งหมดนี้ก็เป็นไปในรูปของ Strategy ทั้งสิ้น
ถ้าหาเจอ เปลี่ยนมันซะ ทุกอย่างก็เปลี่ยนครับ
Believe
คำว่า Believe หรือ "ความเชื่อ" ที่ผมได้ตะบี้ตะบันบ่นถึงอยู่ทุกวี่วันว่ามัน "คำคัญ" ไม่ใช่ความเชื่อประเภทศัทธาจริต เชื่อบุญกรรม เชื่อเทพเทวา เชื่อดวงชะตา หรือเชื่อถือศัทธาในอีกสารพัดสิ่งที่ที่ผู้คนในสังคมจะเชื่อถือยึดเหนี่ยวกันได้
เพราะ Believe หรือ "ความเชื่อ" ในที่นี้หมายถึง.....
"ความจริงที่คุณยอมรับและยึดมั่นอย่างไร้เงื่อนไขและข้อสงสัยใดทั้งสิ้น"
ดังนั้นความเชื่อจึงเป็นกรอบหรือเป็นเขตแดนกักขังมนุษย์ที่เบ็ดเสร็จสมบูรณ์ที่สุด
ไม่มีใครที่ไร้ความเชื่อ .... เพียงแต่ว่าความเชื่อที่คุณมีนั้นมีขอบเขตกว้างขวางแค่ใหน? คุณได้รับอิสระภาพจากความเชื่อของคุณมากน้อยแค่ไหน?
หรือพูดง่ายๆก็คือคุณได้ประโยชน์จากความเชื่อของคุณมากน้อยแค่ไหน?
Belief and Value
ความเชื่อ(Belief) = แผนที่
ค่านิยมหรือการให้คุณค่า(Value) = เข็มทิศ
เมื่อคุณจะกางใบล่องทะเล 2 สิ่งนี้คือสิ่งที่คุณต้องพึงพามันมากที่สุด
เมื่อชีวิตของคุณมุ่งหน้าไปในอนาคต 2 สิ่งนี้คือสิ่งที่มีอิธิพลต่อคุณมากที่สุด
มันต้องพร้อมครับ ......มันต้องพร้อม!!!!
ข้อสรุปแด่ทุกสิ่ง?
อย่าใช้คนเพียงเดียวเป็นบทสรุปของของผู้คนอีกนับล้านบนโลกนี้ ..... และขออย่าได้ใช้อารมณ์จากเพียงเหตุการเดียวมาเป็นทั้งหมดของชีวิตที่เหลืออยู่
นี่มันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
...... หรือคุณว่ามันเข้าท่าดี?
ถ้อยคำแด่ตนเอง
แม้แต่คำพูดที่เป็นสิ่งไร้ต้นทุน (คือท่านไม่ต้องจ่ายไม่ต้องแลกมาด้วยอะไรเลย) หากท่านไม่สามารถหยิบยื่นรูปแบบที่สร้างสรรค์ให้กับตัวเองได้เสียแล้ว .....
แล้วสิ่งอื่นที่มีต้นทุน ท่านจะยิบยื่นสิ่งที่สร้างสรรค์ให้กับตนเองได้อย่างไร?
แล้วสิ่งอื่นที่มีต้นทุน ท่านจะยิบยื่นสิ่งที่สร้างสรรค์ให้กับตนเองได้อย่างไร?
so hard
เราบอกว่าสิ่งนั้น "มันยาก" ก็เพื่อเป็นเกราะกำบังไม่ให้เราต้องทำสิ่งนั้น .... ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ยิ่งพูดคำว่า "มันยาก" ซ้ำเรื่อยๆ เกราะกำบังมันก็ยิ่งถูกเพิ่มความหนาขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนอกจากจะเพิ่มความสามารถในการหาข้อสมอ้างในการหลบหนีการทำสิ่งนั้นไปเรื่อยๆ
ถามจริงๆ คุณคิดว่ามันดีแล้วเหรอกับการหลบหนีหลีกเลี่ยงๆไปเรื่อยๆ? เพื่ออะไร? เพื่อที่คุณจะได้หลบหนีได้อย่างชำนานขึ้นเรื่อยๆ อย่างนั้นหรือ?
ในเมื่อคุณกำลังหนีเป้าหมายเอง คุณกำลังสร้างเกราะหนามาบังคุณให้พ้นจากเป้าหมาย ..... พอคุณไปไม่ถึงเป้าหมาย แล้วคุณจะโทษใคร?
คุณจะโทษใคร?
อย่าช้าเปลี่ยนมันเสียเดี๋ยวนี้เลย จาก "มันยาก" ให้เป็นคำที่สร้างสรรค์กว่า ความจริงมันไม่ยากหรอกเพราะมันแค่ "ยังไม่เคยทำ" "มันซับซ้อนซักหน่อย" "มันเป็นงานละเอียด" "มันท้าทาย" หรือไม่ก็ "มันเป็นสิ่งที่ต้องทุ่มเท"
เลือกเอาซักอย่างเถอะครับ เอามาทดแทนของเก่าที่มันไม่สร้างสรรค์เสียเลย ..... คุณยังคงสื่อสารรู้เรื่องเหมือนเดิมแต่ความหมายที่มันสื่อออกไปสู่โลกภายนอก และแรงสั่นสะเทือนที่มันส่งไปยังโลกภายในจิตใต้สำนึกของคุณ
มันยอดเยี่ยมกว่ากันเยอะ!!!!
อย่าลืมว่าแค่เปลี่ยนคำที่คุณพูด .... ทุกอย่างก็เปลี่ยน!!!!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)