วันพุธที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

Picasso




กาลครั้งหนึ่งนามมาแล้ว ปีกัสโซ่ (Picasso) ศิลปินเอกคนหนึ่งของโลกโดนยิงคำถามมาจากชายคนหนึ่งว่า

"ทำไมคุณจึงไม่วาดภาพที่มันเหมือนจริงล่ะ?" เมื่อได้ฟังดังนั้นปีกัสโซ่จึงถามกลับไปว่า "เหมือนจริงแบบใหนล่ะ?"

ชายคนนั้นจึงหยิบรูปถ่ายภรรยาของตัวเองออกมาจากกระเป๋าเสื้อ (ซึ่งเป็นภาพขาวดำตามยุคสมัยนั้น) เขายื่นให้ปีกัสโซ่ดูอย่างภาคภูมิใจแล้วบอกว่า

“นี่คือภรรยาของผม ภาพนี้มันเหมือนจริงมากและคุณก็ควรวาดให้ได้เหมือนจริงอย่างนี้มากกว่าภาพเบี้ยวๆ ของคุณนะ”

ปีกัสโซ่หยุดมองภาพนั้นอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งทีเดียว จากนั้นก็พูดขึ้นว่า

"ภรรยาของคุณเป็นคนสวยนะ แต่เธอน่าสงสารมาก ดูซิผิวพรรณเธอไม่มีสีเลือดเลยเลย ตัวเธอก็เล็กมากกว้างยาวแค่ไม่กี่นิ้วเห็นจะได้แถมยังแบนแต๋ดแต๋เลย ผิวของเธอยังเย็นๆ อีกด้วยสงสัยเธอจะไม่สบายนะ คุณน่าจะแลเธอให้ดีหน่อย"

นี่อาจจะเป็นอารมณ์ขันปนประชดประชันของปีกัสโซ่ที่ใช้ตอกหน้าชายคนนั้นกลับไปเฉยๆ ก็ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่เราได้จากเรื่องนี้ก็คือ บ่อยครั้งแค่ไหนที่เราให้ปล่อยให้ความหมายที่เรากำหนดให้ต่อสิ่งต่างๆ กลายมาเป็นสิ่งเหล่านั้นเสียเอง เหมือนอย่างที่ชายคนนั้นได้ปล่อยให้ภาพถ่ายในกระดาษกลายเป็นภรรยาของเขาจริงๆ (ถึงแม้ว่าจะผ่านทางการประชดของปีกัสโซ่ก็ตามเถอะ) บ่อยครั้งแค่ไหนที่เราปล่อยให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการสรุปเหตุการณ์ของเราเองกลายมาเป็นรายละเอียดของเหตุการณ์นั้นจริงๆ หรือบ่อยครั้งแค่ไหนเราปล่อยให้ความรู้สึกที่เรามีต่อคนๆ หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นจากการสรุปความหมายของเราเองกลายเป็นตัวตนของคนๆ นั้นไปอย่างสมบูรณ์

มันไม่ใช่แค่บทสรุป มันไม่ใช่แค่ตัวแทน แต่มันกำลังจะเป็นสิ่งนั้นจริงๆ ในการรับรู้ของเรา แผนที่ที่เราวาดขึ้นกำลังกลายเป็นพื้นที่นั่นอย่างสมบูรณ์แล้วอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีทาง!

“แผนที่ไม่ใช่พื้นที่” (The Map is not Territory)

นี่เป็นประโยคที่มีความสำคัญต่อผู้ศึกษาเอ็นแอลพีเป็นอย่างมาก กล่าวคือเอ็นแอลพีเปรียบวิธีการรับรู้ของระบบประสาทของเราเป็นเหมือนกับการมองไปยังแผนที่ฉบับหนึ่งที่เราวาดขึ้นมาอธิบายรายละเอียดของพื้นที่ จากนั้นก็ตอบสนองกับแผนที่นั้นอย่างเต็มที่แทนที่เราจะมองและตอบสนองต่อพื้นที่นั้นโดยตรง การทำแบบนี้ช่วยให้สมองของเราทำงานได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นและประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้ศึกษาเอ็นแอลพีจะต้องระลึกอยู่เสมอก็คือ “แผนที่ก็ย่อมเป็นเพียงแผนที่ ไม่สามารถเป็นพื้นที่จริงได้โดยเด็ดขาด” หมายถึงการรับรู้ก็ย่อมเป็นได้แค่การรับรู้ มันไม่มีทางที่จะเป็นสิ่งเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยเด็ดขาด หรือแปลความกันอีกทีก็คือ

“เหตุการณ์ที่เกิดและสิ่งที่คุณรับรู้มันคือคนล่ะเรื่องกันอย่าได้เผลอเอาไปรวมกันเป็นอันขาด”






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น