วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2556

คำถาม Meta Model

เราจะไม่มีวันพบกับทางออกได้เลยตราบใดที่รอบตัวของยังรายล้อมไปด้วยเมฆหมอกอันมืดมัว ... สำหรับปัญหาต่างๆ ในชีวิตของเราก็เช่นกัน

เมื่อปัญหาต่างๆเกิดขึ้น ประการแรกที่เราจะพบได้ก็คือความครุมเครือขาดรายละเอียดที่เกิดขึ้นกับการรับรู้เหตุการณ์ เมื่อความครุมเครือปกคลุมไปทั่วทางออกของปัญหาจึงไม่สามารถถูกค้นพบได้ มันเหมือนกับการหาทางออกจากเขาวงกตโดยที่คุณกำลังติดอยู่เขาวงกตนั่นแหละ มันยากมากเพราะคุณแทบจะไม่รู้อะไรเลยนอกจากทางแคบที่กำลังบังคับคุณให้เดินไปเรื่อยๆ แต่ถ้าคุณปีนขึ้นมามองทุกอย่างจากภาพรวม การหาทางออกจากจากเขาวงกตก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายมากโดยอัตโนมัติ 

และความครุมเครือในการรับรู้เหตุการณ์ของผู้คนก็ย่อมถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางการสื่อสารที่ครุมเครือ

ถ้อยคำที่ไม่ชัดเจนขาดซึ่งรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นคำนามที่ไม่ระบุ คำกริยาที่ไม่ระบุ การละเมิดความคิด การคาดการณ์ถึงสิ่งที่ยังไม่เกิด การใช้ตรรกะวิบัติ และอื่นๆอีกมายถูกถ่ายทอดออกมาโดยไม่รู้ตัวซึ่งสามารถสังเกตพบได้ไม่ยากเลยในระหว่างการสนทนานั้น

ดังนั้นเพื่อให้ปัญหาสามารถไปถึงจุดแห่งการแก้ไขได้ เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำลายความครุมเครือนั้นลงไปให้ได้เสียก่อน เมื่ิอรายละเอียดถูกทำให้ชัดเจนขึ้น การรับรู้ต่อเหตุการณ์ที่แม่นยำและหนทางในการแก้ไขปัญหาจึงจะตามมาในที่สุด

และเครื่องมือที่จะพาไปถึงจุดนั้นได้ก็คือการตั้งคำถามอย่างถูกจุด

นี่ก็คือหลักการของ Meta Model ใน NLP

A : พี่ต้องช่วยผมนะ ผมแย่แล้ว
B : ช่วยอะไร? และอะไรที่ว่าแย่?
A : ผมขอยืมเงินแสนนึง ผมกำลังลำบากมาก
B : ลำบากมาก ลำบากยังไง?
A : รถกำลังจะถูกยึดพี่
B : ทำไมรถจะถูกยึด
A : ผมเสียบอล
B : ไม่มีเงินไปไถ่รถ?
A : ครับ
B : แล้วที่ว่าลำบากนี่ลำบากยังไง?
A : ไม่มีรถขับไปทำงาน
B : เลยไปทำงานไม่ได้?
A : ครับ
B : แล้วตอนสมัยที่ยังไม่ซื้อรถทำไง?
A : นั่งรถเมล์ครับ
B : ตอนนี้ก็ยังมีรถเมล์นั่งนี่นา ก็ยังนั่งรถเมล์ไปทำงานได้ แล้วจะไปเดือดร้อนทำไม?
A : .........................
B : ในเมื่อเธอทำในสิ่งที่ผิดพลาดคือไปเล่นบอล ตอนนี้รถจะโดนยึดคือผลที่จะได้รับ ผมคิดว่าคุณควรจะยืดอกรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดอย่าเต็มใจ แล้วเรียนรู้กับมันมากกว่าจะผิดพลาดซ้ำโดยการก่อหนี้ซ้อนนะ ......ที่สำคัญที่สุดคือผมไม่มีตังอ่ะ และถึงผมมีผมก็ไม่ให้ด้วย ..........ผมว่าคุณยังไม่แย่หรอก ไม่ลำบากด้วย แค่ยังรับไม่ได้กับผลกรรมก็ตัวเองก็เท่านั้นแหละ ...... ยอมรับกับมันหน่อย .....เดี๋ยวก็ชิน
A : .............................






วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556

การสะกดจิต




สำหรับสิ่งที่คุณกำลังรับรู้ .... คุณยอมรับมันมากขนาดไหน?

สำหรับสิ่งที่คุณกำลังรับรู้ .... คุณกำลังอยู่ในห้วงภวังค์ที่ลึกเพียงใด?

ถ้ามีครบทั้งสองอย่าง .... การสะกดจิตก็กำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว





วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

สิ่งที่รับรู้


ผมคิดว่าคุณคงจะได้ยินที่เขาว่า ... คุณเป็นอย่างอาหารที่คุณกิน หมายถึงสุขภาพของคุณจะเป็นอย่างไรมันขึ้นอยู่กับว่าวันๆ คุณกินอะไรเข้าไปบ้าง ถ้าคุณเปลี่ยนวิธีการกินสุขภาพของคุณก็จะเปลี่ยน

แล้วเรื่องของจิตใจล่ะ? ...สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ...คุณเป็นอย่างที่คุณรับรู้ หมายถึงจิตใจของคุณจะเป็นอย่างไรมันขึ้นอยู่กับว่าวันๆ คุณรับรู้อะไรบ้าง ถ้าคุณเลือกที่จะรับรู้สิ่งที่ดี หรือย่างน้อยก็เลือกที่จะตีความหมายสิ่งที่คุณรับให้มันดีให้มันสร้างสรรค์ต่อตัวคุณ ประโยชน์ก็ย่อมเกิดขึ้นกับชีวิตของคุณอย่างแน่นอน แต่ถ้าคุณยังคงปล่อยให้ชีวิตของคุณนับรู้แต่สิ่งที่ไม่สร้างสรรค์ ปล่อยให้ความเชื่อ ค่านิยมภายในตัวคุณโลดแล่นไปกับการรับรู้ประสบการณ์ที่ไม่สร้างสรรค์ ....ก็อย่าแปลกใจเลยว่าทำไมชีวิตของคุณจึงมีแต่ปัญหายุ่งยากใจ

คุณได้คัดกรองสิ่งที่คุณกำลังรับรู้หรือยัง?

คุณได้ปรับปรุงวิธีการรับรู้ของคุณให้มันดีต่อตัวคุณเองแล้วหรือยัง?






วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

Time

เวลาคืออะไร? ....โดยทั่วไปเราแบ่งเวลาออกเป็นสามส่วนง่ายๆด้วยกันคือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แทบจะทั้งหมดเป็นเรื่องของอดีตคือสิ่งที่เกิดไปแล้วและอนาคตคือสิ่งที่ยังไม่เกิด ส่วนปัจจุบันนั้นเป็นเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น

คนเรารับรู้อดีตผ่านความทรงจำ รับรู้อนาคตผ่านทางการคาดเดา ส่วนปัจจุบันเรารับรู้ได้เพียงชั่วเสี้ยววินาทีเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามกระแสแห่งปัจจุบันก็ไหลมากองรวมที่ปัจจุบันอยู่ดีนั่นเอง

เช่นขณะนี้คุณรู้สึกอย่างไร รู้สึกดี? หรือรู้สึกแย่? ความรู้สึกเหล่านี้มาจากไหน?

มาจากเสี้ยววินาทีที่เป็นปัจจุบันจริงๆ หรือมาจากความทรงจำในอดีต หรือมาจากการคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต?




เนื่องจากปัจจุบันเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นเมื่อพูดถึงปัญหาที่เป็นปัจจุบันจริงๆ จึงมีไม่มากนัก (เช่นเจองูกำลังจะฉกก็รู้สึกกลัวซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในเวลาที่เป็นปัจจุบัน) แต่ปัญหาที่รายล้อมถาโถมเข้ามาโดยส่วนใหญ่ถ้าไม่เป็นเรื่องของความทรงจำจากอดีตก็เป็นเรื่องของการคาดเดาถึงอนาคตทั้งสิ้น

สำหรับปัญหาในอนาคตนั้น เนื่องจากมันเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด เราเพียงคาดการณ์ รับรู้ และตีความหมายว่ามันจะเป็นปัญหามันจึงเป็นปัญหา เนื่องจากมันยังเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด ดังนั้นมันย่อมมีความยืดหยุ่นอย่างสมบูรณ์ในตัวของมันเอง (หมายความว่าเอาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้แน่ได้) เพื่อที่ผลลัพธ์จะได้เปลี่ยนไปคุณอาจจะลองหาวิธีการใหม่ๆ มาทดแทนสิ่งเดิมที่คุณคาดการณ์ไว้เสียก็ได้ หรือแม้แต่เปลี่ยนวิธีการคาดการณ์ให้มันเป็นวิธีการที่เป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเองมากยิ่งขึ้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน

ส่วนปัญหาในอดีตนั้นมันต่างกันออกไป เนื่องจากอดีตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วไม่สามารถแก้ไขใดๆ ได้อีกแล้ว ดังนั้นการแก้ปัญหาในระดับเหตุการณ์จึงย่อมเป็นไปไม่ได้ (เช่นถ้าคุณขับรถไปชนคนตายคุณก็ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขไม่ให้ชนได้อย่างแน่นอน) ดังนั้นสิ่งที่จะสามารถทำได้จึงมีเพียงการเปลี่ยนวิธีการให้ความหมายใหม่ต่อสิ่งที่มันเกิดขึ้นไปแล้วเพื่อให้เกิดเป็นประโยชน์สูงสุด(เท่าที่จะทำได้)แก่ปัจจุบัน หรือถ้ามันหนักหนาสาหัสมากคุณอาจจะเลือกที่จะบิดเบือนมันไปเสียเลยก็ได้

ถึงแม้ว่านี่จะฟังดูแปลกๆ ซักหน่อยแต่มันก็คงจะดีกว่าที่จะปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว จบไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้ว และแก้ไขอะไรก็ไม่ได้อีกแล้วมาคอยสร้างปัญหาให้กับปัจจุบันของคุณ ในเมื่ออย่างไรเสียอดีตก็เป็นเพียงแค่ความทรงจำ เป็นแค่ข้อมูลตัวหนึ่งที่คุณมีเก็บไว้ในสมองและปะยี่ห้อว่านั่นคือความจริง ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่อยู่ภายในหัวของคุณ ภายในระบบประสาทของคุณ ดังนั้นคุณย่อมมีสิทธิ์ต่อข้อมูลเหล่านี้อย่างเต็มที่

จะเปลี่ยนแปลงมันไปเสียเลยก็ย่อมได้ถ้าคุณต้องการ

ถ้าการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ชีวิตของคุณเกิดประโยชน์ คุณจะแคร์ทำไม? ในเมื่อคุณมีสิทธิ์ที่จะจัดการชีวิตของคุณได้อย่างเต็มที่

อย่าลืมว่าการรับรู้อย่างบิดเบือนอย่างไรเสียมันก็เกิดขึ้นในหัวของเราทุกวี่ทุกวันอยู่แล้ว ครั้งนี้จะเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของคุณบ้าง ....คุณจะไม่มีสิทธิ์เชียวหรือ?






วันพุธที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2556

พลังของเหตุผล


คุณต้องการสิ่งใด?

1. ..........................................
2. ..........................................
3. ..........................................
4. ..........................................
5. ..........................................


จงบอกเหตุผลที่ทำให้คุณสมควรได้รับสิ่งเหล่านั้น?

สำหรับข้อ 1. คือ .........................................
สำหรับข้อ 2. คือ ..........................................
สำหรับข้อ 3. คือ ..........................................
สำหรับข้อ 4. คือ ..........................................
สำหรับข้อ 5. คือ ..........................................

เหตุผลนั้นมีพลังอำนาจสูงส่ง มีแต่สมองของมนุษย์เท่านั้นที่เข้าถึงสิ่งที่เรียกว่าเหตุผล
ดังนั้นจงเรียนรู้ที่จะใช้มันให้เกิดประโยชน์อย่างสร้างสรรค์ !!!!






Reframing




การทำงานจิตมนุษย์เริ่มต้นที่การรับรู้ จากนั้นก็ตีความหมาย กลายเป็นสภาพอารมณ์ เกิดเป็นความคิด และแสดงออกไปเป็นพฤติกรรม ซึ่งก็คือตัวตนของพวกคุณทุกคน

สำรับคำถามที่ว่าเราจะควบคุมตัวเราได้อย่างไร เริ่มต้นที่ว่าเราจะควบคุมจิตใจของเราได้อย่างไร

แน่นอนคุณไม่สามารถควบคุมสิ่งที่คุณจะต้องรับรู้ในแต่ละวันได้ คุณเลือกไม่ได้หรอกว่าหนึ่งวันคุณจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส หรือรู้สัมผัสอะไรบ้าง แต่คุณสามารถควบคุม "การตีตวามหมาย" ของตัวคุณเองได้

เมื่อความหมายเปลี่ยนไป สภาพอารมณ์ก็เปลี่ยน ความคิดก็ดเปลี่ยน พฤติกรรมก็เปลี่ยน

"ชีวิตของคุณก็เลยเปลี่ยนแปลง"

บ่อยครั้งที่ "ปัญหา" มันเกิดขึ้นเพราะคุณกำลังมอง "สิ่งนั้น" ว่ามันคือ "ปัญหา"

ดังนั้นจง Reframing มันซะ!!!





คำตอบจากจิตใต้สำนึก


บางครั้งที่ความฉลาดหลักแหลมของจิตสำนึกจนมุมไม่มีคำตอบสำหรับปัญหา ...แต่อารมณ์ที่ถูกขับดันออกมาจากจิตใต้สำนึกกลับมีคำตอบ

บางทีถ้าคุณคิดว่านี่ฉันกำลังจะเข้าตาจนแล้ว ...อย่าลืมเพื่อเก่าที่ชื่อ "จิตใต้สำนึก" จงเข้าถึง จงถาม แล้วมันจะ "ให้คำตอบ"






Restore




มันก็เหมือนกับรถเสียอยู่ข้างถนน

ถ้ารถคุณเสียจอดควันโขมงอยู่ข้างทาง คุณควรจะเริ่มต้นมองที่รถของคุณว่ามันเกิดปัญหาอะไรขึ้นมากจะมองว่าทำไมรถคนอื่นยังวิ่งได้

อย่าถามว่าทำไมรถฉันจึงเสีย อย่าถามว่าทำไมรถคนอื่นจึงยังวิ่งกันได้

แต่จงเริ่มต้นจากการถามว่า "แล้วรถฉันฉันจะกลับมาวิ่งต่อได้ยังไง"

NLP ภูมิใจที่จะบอกว่า

"แค่เปลี่ยนวิธีการตั้งคำถาม เมื่อคำตอบมันเปลี่ยน ชีวิตของคุณก็จะเปลี่ยนทันที"








Mr.Q




อาQ เป็นคนไร้บ้าน
อาQอาศัยนอนในศาลเจ้า
อาQรับจ้างทำงานเล็กๆน้อยๆแลกเศษเงินประทังชีวิต
อาQ ไม่เคยคิดถึงอนาคต
แต่ถึงกระนั้นอาQก็ภูมิใจในความรุ่งเรืองในอดีตของโคตรเง่าตัวเอง

เวลาอาQโดนรังแก
อาQจะมองว่าตัวเองเป็นพ่อแล้วถูกลูกเลวๆรังแกพอคิดว่าตัวเองมีลูกเพิ่มขึ้นมาอาQก็สบายใจ

บางทีโดนมากๆทนไม่ไหวอาQก็เอามือตบหน้าตัวเองแล้วคิดว่าได้ตบหน้าคน
ชีวิตของเราก็เหมือนกับได้ล้างแค้น คิดได้อย่างนี้อาQก็สะใจ

อาQเรียกร้องการปฏิรูปการเปลี่ยนแปลง
โดยที่ไม่เคยซักนิดว่าการปฏิรูปคืออะไรจะเปลี่ยนแปลงไปในทางใหน
อาQรู้แต่ว่าปฏิรูปแล้วตัวเองจะสบาย
จะได้เป็นใหญ่เป็นโตก็เพียงเท่านั้น

ในที่สุดอาQก็ตายโดยเป็นแพะให้กับการปฏิรูป ....แล้วทุกคนก็ลืมตัวตนของอาQ


นี่คือประวัติจริงของอาQ ผู้มีอยู่จริงแต่ไม่เคยตัวตนในสังคม

The Perfectly Loser Model!



จากวรรณกรรมอมตะเรื่อง "ประวัติจริงของอาQ" ของ หลูเซิ่น






Service



" ท่านจงให้บริการที่ดีและมากกว่าเงินค่าตอบแทนเสมอ " : นโปเลียน ฮิล

" แล้วท่านจะได้ผลตอบแทนที่ดีและมากกว่าที่ท่านให้บริการไป " : อันนี้ผมพูดเอง




วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

Planning


ถ้าคุณต้องการทำอะไรซักอย่างให้ประสบความสำเร็จ คุณจำเป็นต้องมีการ "วางแผน" ก่อนเสมอ



การวางแผนเป็นการนำเอาเรื่องของการรับรู้เวลา (Timeline) และความยืดหยุ่น (Flexibility) มารวมเข้าไว้ด้วยกัน

คือคุณต้องรับรู้ถึงอนาคตบางอย่างที่อาจจะเกิดแสร้างทางเลือกแบบต่างๆ ให้กับมัน

ไม่ว่านี่จะเป็นเรื่องของ NLP ธุรกิจ หรืออะไรก็ตามกฏของความยืดหยุ่นนั้นสำคัญเสมอ

การมีทางให้เลือกนั้นย่อมดีแท้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย






ACTE



เมื่อเผชิญปัญหา ... ACTE ช่วยท่านได้


  1. จงประเมิณ (Assess) สถาณะการณ์ว่าจะเกิดอะไขึ้น ค้นหาใก้เจอว่าเป้าหมายของคุณอยู่ที่ใหน เมื่อคุณพบเป้าหมาย คุณก็จะรู้ผลลัพธ์ที่ต้องการ และทางออกของปัญหาก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
  2. จงสร้าง (Create) แผนการขึ้นมาสำหรับจัดการกับเป้าหมาย จำไว้เสมอว่าแผนการที่ดีควรจะเป็นแผนการที่ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการง่ายต่อการจดจำหรือง่ายต่อการลงมือทำก็ตาม
  3. จงลงมือทำ (Take) ตามแผนการที่คุณวางแผนเอาไว้
  4. จงประเมิณผลที่ได้ (Evaluate) ว่าผลที่คุณลงมือทำตามแผนที่วางไว้นั้นมันได้ผลแค่ใหน เป้าหมายของคุณสัมฤิทธิ์ผลเต็มความต้องการหรือไม่ 

....ถ้า "ใช่" จงลงมือทำต่อไป ถ้า "ไม่" จงกลับไปเริ่มต้นที่ 1 ใหม่

Target


"เป้าหมาย" กำหนด "อาวุธ" และ "อาวุธ" จะเป็นตัวกำหนด "การเคลื่อนไหว" (อดีตเจ้าหน้าที่หน่วยซีลเขาว่างั้น)



...มันเป็นกลไกง่ายๆ ของการต่อสู้ทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นจะการสู้แบบเอาเป็นเอาตายหรือเป็นการต่อสู้ในเกมชีวิตมันก็อาศัยกลไกนี้ทั้งสิ้น

ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หากคุณต้องการความสำเร็จ จงเริ่มต้นที่การกำหนด "เป้าหมาย" หรือผลลัพธ์ที่คุณต้องการ

เพราะเป้าหมายจะเป็นตัวบอกคุณเองว่าเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนี้คุณจะต้องใช้อาวุธหรือวิธีการใดในการจัดการเป้าหมายของคุณ

ส่วนเรื่องของการเคลื่อนไหวหรือการลงมือทำก็จะเกิดขึ้นตามมาหลังจากการที่คุณได้เลือกอาวุธของคุณแล้วอีกที




Future


ชีวิตคนเราจะมีอนาคตหรือไม่ .... มันขึ้นอยู่กับว่าคุณมองเห็นอนาคตของคุณหรือเปล่า












Vacation




 เพื่อนนักเพาะกายของผมบอกว่า ..."กล้ามเนื้อไม่ได้โตวันยกเวทหรอก แต่มันโตวันพักต่างหากล่ะ!" 

ใช่แล้ว หลังจากกระหน่ำกล้ามเนื้ออย่างเต็มเหนี่ยวมาแล้ว นักเพาะกายตัวโตๆ ของเราจำเป็นต้องมีวันพักผ่อนเพื่อให้กล้ามเนื้อของพวกเขาโตยิ่งขึ้น เมื่อพักจนเพียงพอแล้วนั่นก็เท่ากับว่าพ่อกล้ามโตของเราก็พร้อมแล้วที่จะกระหน่ำมัดกล้ามเนื้อของพวกเขาให้หนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม

สำหรับชีวิตของเราก็เช่นกัน หลังจากฟันฝ่าความเหนื่อยยากแสนสาหัสมาอย่างเต็มที่แล้ว ....คุณจำเป็นต้องมีวันพัก
พักเพื่อให้คุณโตยิ่งขึ้น แข็งแรงยิ่ง และพร้อมยิ่งขึ้นเพื่อจะรับมือกับเรื่องหนักๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก

"จงพักเพื่อที่ได้แข็งยิ่งขึ้น!!!"




สิ่งมีค่า



มันไม่ได้มีค่าเพราะว่ามันทำจากอะไรหรอก .....มันมีคุณค่าเพราะคุณรักมัน!!!!

: ฮิคสัน เกรซี่



Meta Model



กระบวนการกรองข้อมูลที่เกิดขึ้นในระบบประสาทเมื่อระบบประสาทได้รับรู้สิ่งใดก็ตาม ท้ายที่สุดเมื่อผ่านการประมวลผลแล้ว มันจะถูกถ่ายทอดกลับออกมาเสมอแน่นอน ถ้าหากมันผิดปรกติมันจะถูกถ่ายทอดออกมาโดยแฝงไว้ซึ่งความผิดปรกที่เกิดขึ้นภายในเอาไว้ด้วย
ซึ่งทำให้เราสามารถรู้ได้โดยผ่านทางสิ่งที่ถูกสื่อสารออกมานั่นเอง




ทำไมคุณจึงทำหรือไม่ทำ



ทำไมคุณจึงทำหรือไม่ทำ?
อารมณ์ และ ความคิดของคุณมาจากไหน?

NLP มีคำตอบ






StrongBody can Do!!!


ความสำเร็จที่ท่านต้องการมันไม่สามารถเกิดขึ้นได้ .... ถ้าสังขารท่านไม่อำนวย

ง่ายๆอย่างงี้เลย



ความเคยชิน





Brave!


ความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้าและความต้องการที่เอาชนะความกลัวเท่านั้น .... ที่ท่านต้องการเมื่อจะเอาชนะความกลัวของท่าน!!!




MichaelAngelo and David



ตอนที่มิเกลันเจโล (หรือ ไมเคิลแองเจโล ที่ใคร ๆ เรียกกัน) แกะรูปปั้นเดวิทออกมาได้อย่างสวยงามเกินจะหาคำบรรยายนั้น มีคนถามมิกเกลันเจโลว่าท่านมีเคล็ดลับอะไรจึงสามารถสร้างสรรค์เดวิทออกมาได้อย่างงดงามเกินจะพรรณนาเช่นนี้

มิเกลันเจโลตอบว่า "มันเป็นงานที่ง่ายเป็นอย่างมาก"

"เพราะความจริงแล้วข้าพเจ้ามองเห็นเดวิทผู้งดงามอย่างชัดเจนยืนอยู่ในแท่งหินอ่อนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ดังนั้นหน้าที่ของข้าพเจ้าจึงไม่มีอะไรเลยนอกไปจากเอาส่วนที่ไม่ใช่เดวิทออกไปจากตัวเขาก็เท่านั้นเอง"
.
.
.

"หากต้องการความสำเร็จ ท่านจงมองเห็นความสำเร็จของคุณก่อนที่คุณจะลงมือ"
(อันนี้มิเกลันเจโลไม่ได้พูด แต่ผมพูดของผมเอง)





ตัวตนและความเคยชิน



ตัวตนที่แท้จริงก็คือความปรารถนาหรือความต้องการที่มีอยู่ในตัวตนของแต่ละบุคคล มันเป็นคนละเรื่องกับพฤติกรรมต่างๆ ที่แต่ละคนได้แสดงออกมาอย่างสิ้นเชิง

สมมุติว่าคุณเป็นคนที่ประหม่าเวลาอยู่ต่อหน้าคนมากๆ นั่นไม่ได้หมายความว่าตัวตนของคุณเป็นคนประหม่าหรือเป็นขี้ขลาดตาขาวแต่อย่างใด

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพียงเพราะระบบประสาทของคุณคุณเพียงแต่เคยชินที่จะตอบสนองด้วยความประหม่าเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าคนจำนวนมากเท่านั้น


2Sucess


ความสำเร็จในโลกนี้มันเกิดขึ้นสองครั้งเสมอ ครั้งแรกมันขึ้นในตัวของคุณ อีกครั้งหนึ่งมันเกิดขึ้นเมื่อมันสำเร็จ โดยมีการเชื่อโยงระหว่างสองสิ่งนี้ซึ่งก็คือการกระทำของคุณ! (จำมาลางๆจากอาจารย์วันชัยตอนเปิดงาน NLP Workshop)



ดังนั้นถ้าคุณต้องการความสำเร็จ! จงสร้างความสำเร็จครั้งแรกขึ้นในตัวของคุณ แล้วจึงเชื่อมโยงไปสู่ความสำเร็จครั้งที่สองในโลกแห่งความเป็นจริง! ...เชื่อผมซิ มันเป็นอย่างนั้นเสมอ! (อันนี้ผมเติมเข้าไปเอง)



การยอมรับ


การสื่อสารอะไรไปยังใครซักคนหรือหลายๆ คนมันไม่ใช่เรื่องความสวยหรูของสารที่ถูกส่งออกไป แต่มันเป็นเรื่องของคนรับสารต่างหากว่าเขาเข้าใจอย่างไร



คุณจะให้เขายอมรับสิ่งที่คุณสื่อสารออกไปโดยที่คุณไม่สนใจว่าเขาจะคิดอย่างไรนั้น "มันเป็นไปไม่ได้"

ถ้าคุณต้องการให้ใครยอมรับคุณ คุณจะไม่สนใจว่าเขาจะคิดอะไรกับคุณนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
อย่าถามว่าทำไมเขาจึงไม่ยอมรับคุณ

....แต่ให้เริ่มที่ว่าเขาจะคิดอย่างไรกับสิ่งที่เรากำลังเป็น




วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

Leader


มีหลักทางจิตวิทยา (แบบการตลาด) ง่ายๆ ว่า "ครั้งแรกไม่มีใครกำหนดมาตรฐาน"

แปลว่าคุณจะทำยังไงก็ได้ จะกำหนดราคาเท่าไหร่ก็ได้ กำหนดระเบียบพิธีแบบไหนก็ได้

และ "ครั้งแรกจะเป็นตัวกำหนดมาตรฐานสำหรับครั้งต่อๆไป"



ดังนั้นตราบใดที่คุณยังคงทำอะไรซ้ำกับรูปแบบเดิมๆ คุณก็จะหลีกเลี่ยงการถูกนำไปเปรียบเทียบกับรูปแบบแรกๆ ที่เป็นตัวสร้างมาตรฐานไม่ได้หรอกครับ

เว้นแต่คุณจะหาช่องทางใหม่ๆ หารูปแบบใหม่ๆ สร้างรูปแบบใหม่ๆ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างเสียจนผู้คนไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับสิ่งเดิมที่เคยมีได้ เมื่อนั้นแหละ คุณจึงจะเป็นผู้กำหนดมาตรฐานล่ะ




True-Beliver Syndrome

True-Beliver Syndrome ....(โรคงมงาย) สำหรับยาแก้ก็คือ "จงสงสัยอย่างสร้างสรรค์"


Reframing


ผมพูดจริงๆ บ่อยครั้งที่คนมักจจะถามย้อนผมกลับมาว่า ถ้าเราทำ Reframing (เปลี่ยนวิธีการตีความหมายใหม่ให้กับสิ่งที่รับรู้หรือเกิดขึ้นไปแล้ว) แล้ว ...... จะไม่เท่ากับว่าเรากำลังหลอกตัวเองหรือ?



ผมถามจริงๆ ถ้าการหลอกตัวเองจะสามารถทำให้ความทุกข์ของคุณหมดไปได้ ..... คุณจะยอมมั้ยล่ะ

และที่สำคัญที่สุดก็คือ .....คุณว่าการ Reframing เป็นการหลอกตัวเอง .....ถ้าอย่างนั้นคุณรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้คุณไม่ได้หลอกตัวเองอยู่?
.
.
.

ผมหมายถึงวิธีการที่คุณตีความหมายให้กับเรื่องราวต่างๆ ในขณะนี้ของคุณน่ะ
....มันถูกต้องแล้วจริงๆ หรือ?